ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันใน COP29 ถกประเด็น 'ทรัมป์' จุดเปลี่ยนเกมโลกร้อน
ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี ต่อความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก พวกเขาเน้นถึงความเสี่ยงที่สหรัฐ จะเปลี่ยนนโยบายไปผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐ ไปสู่การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้น
- สหรัฐควรให้ความสำคัญของการสนับสนุนทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับประเทศรายได้น้อย
- ในแง่ของความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปล่อยมลพิษ อาจไม่ได้มีความหวังมากนักว่าจะเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี
- COP ควรมีที่นั่งที่ยุติธรรมในโต๊ะเจรจาให้ชาติชนเผ่าสหรัฐอเมริกา ไม่ผลักไสให้อยู่ในสถานะเดียวกับองค์กรพัฒนาเอกชน
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2024 ที่ COP29 ในกรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน มีการจัดประชุมสำคัญที่จัดโดยเครือข่ายการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐอเมริกา (U.S. Climate Action Network : USCAN) ในหัวข้อ "USCAN: A Game-Changer: How the US Election Results Signal a Climate Turning Point" ซึ่งรวบรวมผู้เชี่ยวชาญ 4 คนจากสหรัฐอเมริกามาหารือเกี่ยวกับผลกระทบของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนจากทั่วโลกซักถาม ซึ่งผู้บรรยายประกอบด้วย
- เรเชล คลีตัส ผู้อำนวยการนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ และพลังงานจาก Union of Concerned Scientists เป็นองค์กรสนับสนุนวิทยาศาสตร์ที่ไม่แสวงหากำไรในสหรัฐอเมริกา
- เคลลี่ สโตน นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสจาก ActionAid USA เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรในวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
- แอชลี โธมัส ที่ปรึกษานโยบาย และโปรแกรมอาวุโสจาก Oxfam America เป็นองค์กรระดับโลกที่ต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อยุติความยากจน และความอยุติธรรม
- ชีล่า แบร์ฟุต ตัวแทนของชนเผ่าอาปาเช่ชิริคาฮัว (Chiricahua Apache Nation)
รัฐบาลของโจ ไบเดน มีอำนาจที่ COP29
"เรเชล คลีตัส" กล่าวว่า การเข้ามาของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้การทูตด้านสภาพภูมิอากาศโลกเกิดความวุ่นวาย รวมถึงอาจจะถอนตัวจากข้อตกลงปารีส และอาจจะออกจาก UNFCCC ด้วย รัฐบาลนี้จะยังคงไม่สนใจ และโกหกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เรื่องโลกร้อน และแต่งตั้งคนที่ไม่เหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี และใช้ทุกโอกาสเพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันฟอสซิล
“แม้ว่าบางส่วนของพระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act : IRA) ของสหรัฐอเมริกา และการดำเนินการระดับชาติที่เข้มงวดจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็การขาดการดำเนินการของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาใหญ่ จะทำให้การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐ ชะงักลง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้คนในสหรัฐ และทั่วโลกกำลังประสบกับภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล”
ที่ COP29 รัฐบาลของโจ ไบเดน ยังคงมีอำนาจ และเราคาดหวังให้พวกเขาแสดงความเป็นผู้นำ รับผิดชอบ และผลักดันผลลัพธ์ที่ทะเยอทะยานในการเจรจาในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดที่นี่คือ การเงินด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้น้อยใช้เพื่อทำการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรับมือกับการสูญเสียและความเสียหาย
“รัฐบาลของไบเดนควรสนับสนุนเป้าหมายที่ทะเยอทะยานในระดับหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือหรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเป็นเพียงความยุติธรรมสำหรับประเทศที่ร่ำรวย และมีการปล่อยก๊าซสูงอย่างสหรัฐ ที่จะเป็นผู้นำ และเรื่องนี้ไม่ใช่การกุศล แต่เป็นความรับผิดชอบ”
สหรัฐไม่ควรขัดขวางโลก
"คลีตัส" กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐควรใช้โอกาสนี้ในการประกาศ NDC (การมีส่วนร่วมที่กำหนดในระดับประเทศ) ฉบับถัดไปสำหรับปี 2035 โดยต้องเป็นการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่ง และสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดำเนินการนี้จะต้องเร่งดำเนินการก่อนช่วงเวลาของรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามา ส่วนผู้ปล่อยก๊าซรายใหญ่รายอื่นๆ ก็ต้องยื่น NDC ที่ทะเยอทะยานเช่นกัน
หากไม่มีการเงิน และ NDC ที่แข็งแกร่ง การพูดถึงเป้าหมาย 1.5°C ทั้งหมดจะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า อุณหภูมิโลกกำลังเพิ่มขึ้น และหากผู้นำโลกไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เราอาจจะอยู่ในเส้นทางที่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นถึง 3.1°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
“เราไม่มีเวลาให้เสียเปล่า สหรัฐไม่ควรขัดขวางโลกจากการดำเนินการที่จำเป็น และกล้าหาญ ทั้งนี้ ที่ COP29 ประเทศอื่นๆ และผู้มีบทบาทระดับย่อยจะต้องก้าวขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในความเป็นผู้นำ สหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็จะเข้าร่วมกับผู้คนนับล้านเพื่อต่อสู้กับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมของรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงในศาล เราจะต่อสู้กับการกระทำที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์ และความไม่ยุติธรรม รวมถึงการกระทำของอุตสาหกรรมน้ำมันฟอสซิล”
ผลกระทบของรัฐบาลทรัมป์ต่อจีน
เมื่อมีสื่อมวลชนชาวจีนคนหนึ่งถามว่า การที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐจะส่งผลในแง่ของความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปล่อยมลพิษอย่างไร?
"คลีตัส" ตอบว่า ยอมรับว่าไม่ได้มีความหวังมากนักว่าสิ่งต่างๆ จะเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ และหากจำเป็น เรื่องนี้ควรจัดกรอบให้เป็นปัญหาความมั่นคงแห่งชาติสำหรับทั้งสองประเทศได้
จดหมายถึงไบเดน เรียกร้องเงินช่วยโลก
“เคลลี่ สโตน” กล่าวว่า ข้อตกลงปารีสใหญ่กว่าเรื่องของประเทศเดียว และเราไม่สามารถปล่อยให้รัฐบาลใหม่ที่กำลังเข้ามาทำลายข้อตกลงนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่พวกเขาจะเข้ารับตำแหน่ง ไบเดนยังคงเป็นประธานาธิบดีอยู่ และนั่นยังคงเป็นกระบวนการตัดสินใจสำหรับสหรัฐใน COP29 นี้
เป้าหมายสำหรับ COP29 คือ การได้เงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ที่แข็งแกร่งและทะเยอทะยาน หรือ NCQG ที่จะสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่จำเป็น โดยเป้าหมายนี้จะคงอยู่ไปอีกนานเกินกว่ารัฐบาลชุดนี้
USCAN ได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีไบเดน ที่ลงนามโดยกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมหลากหลาย เช่น กลุ่มศาสนา กลุ่มพัฒนา และกลุ่มความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ มากกว่า 80 กลุ่ม เรียกร้องให้มีเป้าหมายการเงินใหม่ที่มีมูลค่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ หรือเทียบเท่าเงินช่วยเหลือ
"เราต้องระดมการเงินด้านสภาพภูมิอากาศที่แท้จริง ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือสาธารณะ และไม่เพิ่มวิกฤติหนี้สำหรับประเทศกำลังพัฒนา และเงินต้องสามารถใช้ได้ครอบคลุมทุกด้านของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดผลกระทบ การปรับตัว และการสูญเสีย และความเสียหาย"
IRA และ Justice40 ตัวช่วยอเมริกามีส่วนร่วม
“แอชลี โธมัส” กล่าวว่า เราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่จะบรรลุข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซจะต้องถึงจุดสูงสุดก่อนปี 2025 และลดลง 43% ภายในปี 2030 ซึ่งงานของ USCAN มุ่งต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมกัน เพราะเป็นหัวใจของการแกก้วิกฤตการณ์สภาพอากาศ
ขณะที่อ็อกแฟมอเมริกาเคยร่วมกับนายกเทศมนตรี ผู้ว่าการรัฐ สมาชิกรัฐสภา ผู้นำท้องถิ่น และนักเคลื่อนไหวจากทั่วสหรัฐ เพื่อเจรจาให้สหรัฐอยู่ในการต่อสู้ระดับโลก และคัดค้านการตัดเงินทุนของสหรัฐสำหรับการดำเนินการด้านสภาพอากาศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
“พูดตรงๆ คือ เราจำเป็นต้องเพ่งเล็งไปที่ผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุด พวกเขาต้องแบ่งปันความรับผิดชอบระดับโลก ซึ่งผลของพระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) ของสหรัฐอเมริกา สนับสนุนการใช้พลังงานที่ยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
และโครงการ Justice40 เป็นความพยายามระดับรัฐบาลที่เปิดตัวโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อให้แน่ใจว่า 40% ของผลประโยชน์โดยรวม จากการลงทุนของรัฐบาลกลางในด้านสภาพภูมิอากาศ และพลังงานสะอาดบางรายการจะตกอยู่กับชุมชนที่ด้อยโอกาส เพราะชุมชนเหล่านี้มักถูกละเลยในเรื่องการลงทุน และถูกภาระด้วยมลพิษเป็นส่วนใหญ่ เป็นตัวช่วยที่จะผลักดันให้สหรัฐ มีส่วนช่วยกับเป้าหมายลดโลกร้อน"
แม้รัฐบาลกลางไม่ช่วย สหรัฐก็ลด GHG ได้ 60%
เมื่อไม่นานนี้ ศูนย์ความยั่งยืนระดับโลกของมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า หากรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นดำเนินการอย่างทะเยอทะยานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
แอชลี โธมัส บอกว่า แม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง สหรัฐจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHG) ได้ 60% ต่ำกว่าระดับปี 2548 ภายในปี 2578 เศรษฐกิจ และประชากรของสหรัฐ มากกว่าสองในสามอาศัยอยู่ในเมือง และรัฐที่มุ่งมั่นต่อข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
"ความก้าวหน้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถเป็นไปได้ แต่จำเป็นต้องมีหลักการ และความตั้งใจ ซึ่งผู้แทนจากทั้ง 198 ประเทศที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาเข้าร่วมการประชุม COP29 ครั้งนี้ ต้องผลักดันให้มีแนวทางใหม่ๆ สำหรับประเทศร่ำรวยเพื่อมุ่งมั่นที่จะจัดหาเงินทุนที่ดีขึ้น เราต้องร่วมมือกับบริษัทชั้นนำ 700 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด และร่ำรวยที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนสนับสนุนอย่างยุติธรรม"
ทั้งนี้ รายงานล่าสุดพบว่าสหรัฐสามารถสร้างรายได้ 6.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีด้วยภาษีเงินได้ 60% จากผู้มีรายได้สูงสุด 1% เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพอากาศ และแก้ไขอันตรายที่ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกต้องเผชิญเมื่อเผชิญกับวิกฤติสภาพอากาศ
ทรัมป์ใช้อำนาจอธิปไตยซ้ำรอยเดิม
"ชีล่า แบร์ฟุต" กล่าวถึงประเด็นที่สหรัฐต้องจ่ายส่วนแบ่งอย่างยุติธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องอำนาจอธิปไตยของชนเผ่าว่า
ความกังวลอย่างหนึ่งที่เรามีต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ คือ การเขาใช้อำนาจอธิปไตยซ้ำรอยเดิม ซึ่งส่งผลให้อำนาจอธิปไตยของชนเผ่าลดลงอย่างมาก
"ทรัมป์มีความพยายามหลายครั้งในการเช่าน้ำมัน และก๊าซในที่ดินสาธารณะ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนที่ดินในแอริโซนา ซึ่งส่งผลกระทบต่อชนเผ่าซานคาร์ลอส อาปาเช และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมากเกินกว่าจะระบุรายละเอียดได้ในสองนาที"
การกระทำทั้งหมดนี้บั่นทอนอำนาจอธิปไตยของชนเผ่า และความสามารถของชนพื้นเมืองในสหรัฐในการดูแลดินแดน การป้องกันการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น และการทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันการขยายตัวของเชื้อเพลิงฟอสซิล และโครงการที่เป็นอันตรายอื่นๆ เช่น โครงการขุดเหมืองหรือโครงการนิวเคลียร์
ชาติชนเผ่า ไม่มีโต๊ะเจรจาใน COP?
"แบร์ฟุต" กล่าวด้วยว่า สิ่งที่มักถูกละเลยบ่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ของ COP คือชาติชนเผ่า ถึงแม้ว่าเราจะเป็นชาติที่มีอำนาจอธิปไตย แต่ก็ถูกผลักไสให้อยู่ในสถานะเดียวกับองค์กรพัฒนาเอกชน และไม่ได้รับที่นั่งที่ยุติธรรมในโต๊ะเจรจา
"มีชนเผ่าที่รัฐบาลกลางรับรอง 574 เผ่าในสหรัฐอเมริกา ดังนั้น หัวข้อการเจรจาจะมีความแตกต่าง และหลากหลายมาก ลองคิดดูว่า หากมีตัวแทนรัฐบาล 574 คน ที่สนับสนุนการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของโลกอย่างแท้จริง มีพื้นที่การเจรจาใน COP ครั้งนี้ จะช่วยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์