ภาคประชาสังคม เรียกร้องให้รัฐบาลไทย แสดงจุดยืนใน ‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก’
ภาคประชาสังคมกว่า 160 องค์กร ยื่นแถลงการณ์ถึงรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งใน “สนธิสัญญาพลาสติกโลก”
มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) กรีนพีซประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และสมาคมแทรชฮีโร่ไทยแลนด์ (Trash Hero Thailand Association) ในฐานะตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคมกว่า 160 องค์กร ยื่นแถลงการณ์ถึงรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งใน “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” โดยเน้นย้ำให้รัฐบาลสนับสนุนมาตรการที่ควบคุมปริมาณการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนควบคุมสารเคมีอันตราย และยุติมลพิษตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก
“สนธิสัญญาพลาสติกโลก” มุ่งเน้นแนวทางการจัดการพลาสติกที่ครอบคลุมและตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การควบคุมปริมาณการผลิตพลาสติก มาตรการกำกับการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว สารเคมีและสารเติมแต่งที่น่าห่วงกังวล การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและกลไกการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โดยจุดมุ่งหมายหลักคือการยุติปัญหามลพิษพลาสติกที่ไร้พรมแดน ต่อมาได้มีการประชุมเพื่อร่างสนธิสัญญาฉบับนี้มาแล้ว 4 ครั้ง โดยการเจรจาครั้งที่ 5ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2567 ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี
การเจรจาที่จะถึงนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาคมโลกจะสามารถบรรลุสนธิสัญญาที่จะยุติมลพิษพลาสติกและกำหนดระดับการผลิตพลาสติกที่ยั่งยืนได้ แถลงการณ์ของภาคประชาสังคมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการเจรจาครั้งนี้โดยมีข้อเรียกร้อง 10 ประการดังนี้
1. ลดการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนต่อการบริโภคและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้
2. กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
3. กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซมที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน
4. กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายและขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่จําเป็น ขยายระบบใช้ซ้ำ การเติม และการซ่อมแซม รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้จริงภายในประเทศ ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
5. กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารเคมีและมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ
6. กำหนดให้มีมาตรฐานสากลในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ที่ให้ความสำคัญกับการลดพลาสติกแต่ต้นทาง การห้ามเผาขยะพลาสติก การกำหนดมาตรฐานการจัดการขยะที่เข้มงวด รวมไปถึงการรีไซเคิลและการผลิตพลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
7. ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะและพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น
8. ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษอันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา
9. กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก
10. กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงชุมชน ผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงานและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ นักรณรงค์อาวุโสและผู้จัดการโครงการพลาสติกระดับเอเชียอาคเนย์มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) กล่าวว่า “การผลิตพลาสติกในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ไม่ยั่งยืน การที่ทุกคนจากหลากหลายความเชี่ยวชาญมารวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องที่ท้าทายนี้บนพื้นฐานของข้อมูลต่ำงหาก ที่จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเป็นผู้นำสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในเวทีเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก (INC-5) ด้วยการร่วมมือกับประเทศต่ำง ๆ มุ่งเป้าลดการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมและภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน”
พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “กรีนพีซมุ่งหวังให้ผู้แทนคณะการเจรจาของประเทศไทยสนับสนุนมาตรการลดการผลิตพลาสติก และมีนโยบายสนับสนุนและเอื้อให้เกิดระบบใช้ซ้ำ ไม่ให้ความสำคัญกับข้อเสนอที่นำไปสู่การทำธุรกิจแบบพึ่งพาพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งจากกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิล และแสดงจุดยืนในการแก้ไขภาวะโลกร้อนอย่างจริงจังเพื่อปกป้องทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก นำไปสู่โลกคาร์บอนต่ำ ปลอดมลพิษ และไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่อยู่บนพื้นฐานระบบใช้ซ้ำ”