เซ็นทรัลหนุน 'เมืองเดินได้' แบ่งที่ดินขยายทางเท้า หน้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
ขณะที่โลกต้องเผชิญกับความต้องการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมให้เป็นเมืองที่เดินได้เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญ เพราะเมืองเดินได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต
ในการเดินทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน "เมืองที่เดินได้" ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยพื้นที่ของเมืองเดินได้ถูกออกแบบมาให้ผู้คนเดินได้สะดวก มอบประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมมากมายที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืน นอกจากนั้น เมืองที่เดินได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมาก โดยส่งเสริมการเดิน การขี่จักรยาน และการใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการพึ่งพารถยนต์
กลุ่มเซ็นทรัล นำโดย บริษัท เตียงจิราธิวัฒน์ จำกัด ส่งเสริมแนวคิดเมืองเดินได้ ตามแนวคิด "Central of Life – ศูนย์รวมแห่งชีวิต ที่ช่วยให้ทุกคนได้มาใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเอง" จึงได้แบ่งปันพื้นที่ส่วนบุคคลของบริษัทฯ ตามโฉนดเลขที่ 538 เพื่อขยายพื้นที่ทางเท้าหน้า “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” ตรงบริเวณจุดคับแคบใกล้หมุดที่ดินนายเลิศ บนถนนเพลินจิตตัดถนนวิทยุ เขตปทุมวัน
ทำให้มีทางเท้ามาตรฐานความกว้างถึง 1.20 เมตร พร้อมปรับทางเดินเท้าใหม่ภายใต้หลัก Universal Design ซึ่งเป็นการออกแบบที่ครอบคลุมการใช้งานของทุกคน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์จากทรัพยากรเดียวกันได้ ด้วยงบประมาณของกลุ่มเซ็นทรัลเอง
การแบ่งปันพื้นที่ส่วนบุคคลครั้งนี้ ถึงจะดูเป็นพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงกับการใช้ชีวิตของคนจำนวนมาก ซึ่งเป็นมากกว่าแค่การปรับปรุงโครงสร้าง แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์พื้นที่แห่งความใส่ใจ และการมีส่วนร่วม ส่งเสริมกรุงเทพฯให้มีพื้นที่ทางเท้าที่ปลอดภัย เพื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนทั่วไป ผู้พิการทางสายตา หรือผู้ใช้รถเข็นวีลแชร์ รองรับการใช้ชีวิต
โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญที่ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมจับมือกัน เพื่อมุ่งสร้าง กรุงเทพฯให้เป็นเมืองหลวงที่น่าอยู่ ภายใต้นโยบาย “เมืองเดินได้-เมืองเดินดี” ของกรุงเทพมหานคร ที่ริเริ่มโดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ความท้าทายสำหรับประเทศไทย
"กรุงเทพธุรกิจ" รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองเดินได้ พบว่า ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในการเป็นเมืองที่เดินได้ เมื่ออ้างอิงจาก Good Walk Sore Index เพื่อวัดคะแนนการเดินได้ของย่านเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน พบว่ามีคะแนน 52 Walkable หมายถึง เข้าถึงด้วยการเดินได้ปานกลาง
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดในด้านความหนาแน่น การใช้งานพื้นที่แบบผสม และการเข้าถึงเครือข่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ริมแม่น้ำ ก่อให้เกิดอุปสรรคสำคัญการเป็นเมืองเดินได้ นอกจากนี้ เครื่องมือในการวัดการเดินได้ในบริบทของประเทศที่กำลังพัฒนายังคงต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม
เมืองที่เดินได้มากที่สุดในโลก
เกณฑ์ที่ที่ทำให้เมืองสามารถเดินได้มากที่สุดอาจแตกต่างกันไป เช่น เมืองที่สามารถเดินได้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ ซึ่งก็คือการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถเดินเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ช้อปปิ้ง ทำงาน หรือออกกำลังกายได้ เป็นต้น
ตามข้อมูลของ Institute for Transportation and Development Policy (ITDP) เมืองที่เดินได้มากที่สุดในโลกในปี 2023 ได้แก่
- ลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ : มีโซนที่ปลอดรถยนต์ และการเข้าถึงสถานบริการด้านสุขภาพและการศึกษาที่กว้างขวาง
- ปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส : มีอัตราการเข้าถึงบริการต่างๆ สูง และพื้นที่ปลอดรถยนต์จำนวนมาก
- โบโกตา เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย : มีชื่อเสียงในการจัดกิจกรรม Ciclovía ที่เปลี่ยนถนนให้เป็นทางเดินเท้าสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
- ฮ่องกง : ถึงแม้มีถนนแคบ แต่ก็มีตลาดที่พลุกพล่านที่มีพื้นที่ปลอดรถยนต์มากมาย
- มอสโก เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย : มีโซนคนเดินที่มีชีวิตชีวาพร้อมประสบการณ์ทางวัฒนธรรม
นอกจากนั้น ตามการศึกษาของ Climate Reality Project พบว่า 95% ของเมืองในประเทศจีนมีคะแนนการเดินได้ (Walk Score) 60 คะแนนขึ้นไป ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการเดินได้สูง ในทางตรงข้าม เมืองในสหรัฐอเมริกาหลายเมืองมีคะแนนการเดินได้เฉลี่ยอยู่ที่ 48 จาก 100 คะแนน ซึ่งสะท้อนถึงการพึ่งพารถยนต์มากขึ้น
เมืองเดินได้ ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ
ในด้านเศรษฐกิจ เมืองที่เดินได้กระตุ้นธุรกิจท้องถิ่นเพราะผู้เดินเท้าจะมีโอกาสซื้อของที่ร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารใกล้เคียงมากขึ้น การใช้จ่ายในท้องถิ่นนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน นอกจากนี้ ทรัพย์สินในพื้นที่ที่เดินได้มักมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำให้เมืองมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุน ประโยชน์ด้านสุขภาพจากการเดินช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ เนื่องจากผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดีกว่า
ผลกระทบทางสังคม
จากมุมมองทางสังคม เมืองที่เดินได้ส่งเสริมการสร้างชุมชน โดยทำให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางสังคมที่แข็งแกร่งขึ้นและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความสามารถในการเข้าถึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะเมืองเหล่านี้ให้การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกคน รวมถึงผู้ที่ไม่มีรถยนต์ เช่น ผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย
ผังเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน
การวางผังเมืองในเมืองที่เดินได้มีความสำคัญ เพราะการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการขยายตัวของเมืองและรักษาภูมิทัศน์ธรรมชาติ ระบบขนส่งสาธารณะมักถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างดี ให้ประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายสำหรับผู้ที่เลือกไม่ขับรถ นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่ปรับปรุงสำหรับผู้เดินเท้าและนักขี่จักรยานช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
เมืองที่เดินได้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงสร้างพื้นฐานช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพพลังงาน และการพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักในการจัดหาพลังงาน เมืองเหล่านี้ยังเตรียมพร้อมดีกว่าสำหรับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากการออกแบบที่มีความกะทัดรัดและรวมเข้าด้วยกัน
อ้างอิง : The Climate Reality Project, Nomad Index, Good Walk