‘เดนมาร์ก’ เก็บภาษีคาร์บอนจากปศุสัตว์ ลดพื้นที่เกษตร ปลูกป่า 1.5 ล้านไร่

‘เดนมาร์ก’ เก็บภาษีคาร์บอนจากปศุสัตว์ ลดพื้นที่เกษตร ปลูกป่า 1.5 ล้านไร่

รัฐบาลเดนมาร์กแผน “ข้อตกลงไตรภาคีสีเขียว” ประกาศ เตรียมเก็บภาษีคาร์บอนจากปศุสัตว์เป็นครั้งแรกของโลก มีผลบังคับใช้ในปี 2030

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเดนมาร์กแผน “ข้อตกลงไตรภาคีสีเขียว” ประกาศ เตรียมเก็บภาษีคาร์บอนจากปศุสัตว์เป็นครั้งแรกของโลก มีผลบังคับใช้ในปี 2030
  • พร้อมตั้งเป้าจะลดการปล่อยไนโตรเจนภาคเกษตรกรรมลง 13,780 ตันต่อปี โดยให้เกษตรกรลดการใช้ปุ๋ย
  • รวมถึงปลูกป่าใหม่ 1,562,500 ไร่และจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอีก 5 แห่ง โดยพื้นที่ส่วนหนึ่งจะมาจากการเวนคืนที่ดินเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำ

เมื่อเดือนมิ.ย. 2024 รัฐบาลเดนมาร์กได้ลงนาม “ข้อตกลงไตรภาคีสีเขียว” (Green Tripartite) ร่วมกับอุตสาหกรรมการเกษตร และกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าเดนมาร์กอาจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 2.6 ล้านตันในปี 2032 พร้อมบังคับให้รัฐบาลต้องหาวิธีการจัดเก็บภาษีการปล่อยคาร์บอนจากการทำฟาร์ม และมีข้อกำหนดในการลดไนโตรเจนของเกษตรกร รวมถึงต้องปลูกป่าใหม่ 1,562,500 ไร่และจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอีก 5 แห่ง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2024 รัฐบาลประกาศเตรียมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งใหญ่สำหรับภาคเกษตรกรรม โดยจะเริ่มต้นในปี 2027 และจะเริ่มเก็บภาษีคาร์บอนจากปศุสัตว์ในปี 2030 ซึ่งจะทำให้เดนมาร์กเป็นประเทศแรกในโลกที่เก็บภาษีสภาพอากาศสำหรับภาคเกษตรกรรมเป็นแห่งแรกของโลก 

โดยเงินที่ได้จากการเก็บภาษีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จะถูกจัดสรรสำหรับการปลูกป่าทดแทน ด้วยเหตุนี้ พื้นที่เกษตรประมาณ 875,000 ไร่ ที่ปลูกในดินที่ราบลุ่มซึ่งทำลายสภาพอากาศ จึงต้องถูกรื้อถอนและห้ามทำการเพาะปลูกอีกต่อไป และกฎหมายต่าง ๆ ที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของเดนมาร์กอย่างถาวรฃ

ตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป การปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดจากการเลี้ยงวัวและหมูจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 42 ดอลลาร์ต่อคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าหนึ่งตัน และอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 106 ดอลลาร์ภายในปี 2035

อย่างไรก็ตาม เมื่อหักลดหย่อนภาษีขั้นพื้นฐาน 60% แล้ว อัตราภาษีจริงจะอยู่ที่ 17 ดอลลาร์ต่อคาร์บอนไดออกไซด์หนึ่งตันที่ปล่อยออกมาในปี 2030 และ 42 ดอลลาร์ในปี 2035

ข้อตกลงประวัติศาสตร์

ไตรภาคีสีเขียวนี้ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2023 โดย เจคอบ เอลล์แมนน์-เจนเซน หัวหน้าพรรค Venstre ในขณะนั้น หลังจากการอภิปรายภายในพรรคอย่างดุเดือดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรม

ไตรภาคีนี้ถูกมอบหมายให้จัดเก็บภาษีภาคเกษตรกรรม เนื่องจากภาคเกษตรกรรมของเดนมาร์กไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว นอกจากนี้ ยังได้รับมอบหมายให้เสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการที่ดิน ธรรมชาติ และทรัพยากรน้ำดื่มของประเทศให้ดีขึ้น

ไตรภาคีสีเขียวประกอบด้วยรัฐมนตรีหลายคนในฐานะตัวแทนรัฐบาล สภาการเกษตรและอาหารเดนมาร์ก สมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งเดนมาร์ก สหพันธ์อาหารแห่งเดนมาร์ก (NNF) โลหะเดนมาร์ก อุตสาหกรรมเดนมาร์ก และสมาคมเทศบาลแห่งชาติ ด้วยสมาชิกพันธมิตรที่แน่นแฟ้นแสดงให้เห็นว่าข้อตกลงนี้จะคงอยู่ไปอีกหลายปี

ลาร์ส ล็อกเก้ ราสมุสเซน หัวหน้าพรรค Moderaterne และรัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า ข้อตกลงเรื่องเดนมาร์กสีเขียวจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกษตรกรรมและธรรมชาติ

“เมื่อคุณเห็นเกษตรกรทั่วทั้งยุโรปยังคงออกมาเผายางประท้วง และนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศยังคงยึดติดกับปัญหาการใช้ถนน นับเป็นเรื่องที่ดีเราอยู่ในประเทศที่ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกัน และเรากำลังปรับปรุงภูมิทัศน์ของเดนมาร์กครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สมัยของเอ็นริโก ดาลกัส” ล็อกเก้กล่าว

เอ็นริโก ดาลกัส วิศวกรผู้กำลังสำคัญในการปลูกพืชและการจัดการที่ดินของเดนมาร์กตั้งแต่ยุค 1800 ซึ่งช่วยขยายพื้นที่เกษตรกรรมของเดนมาร์ก

ไนโตรเจนจากการใช้ปุ๋ยเคมีจากภาคเกษตรกรรมไหลลงสู่ทะเลชายฝั่งและฟยอร์ด มีส่วนทำให้เกิดสภาพแวดล้อมทางน้ำเสื่อมโทรม ออกซิเจนในแหล่งน้ำลดลง เพื่อลดการปล่อยไนโตรเจน เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยในไร่นาให้น้อยลง โดยตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ตั้งเป้าจะลดการปล่อยไนโตรเจนจะลดลง 13,780 ตันต่อปี รวมถึงข้อตกลงสีเขียวจะทำให้พื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมากถูกยกเลิก และเปลี่ยนเป็นพื้นที่ป่า ซึ่งจะส่งผลให้ไนโตรเจนถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำน้อยลง

“นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนพื้นที่ส่วนใหญ่ของเราจากการผลิตทางการเกษตรไปสู่พื้นที่ป่าธรรมชาติ เพื่อคืนชีวิตกลับสู่ฟยอร์ดของเราได้” เยปเป บรุส รัฐมนตรีกระทรวงไตรภาคีสีเขียวกล่าว

ในเบื้องต้น การควบคุมการปล่อยไนโตรเจนจากปุ๋ยของภาคเกษตรกรรมจะดำเนินการโดยสมัครใจ นอกจากนี้ยังกำหนดระยะให้เกษตรกรลงทะเบียนขายที่ดินไว้ระหว่างปี 2025-2030 ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินชดเชยไว้ราว 4,538 ล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน พื้นที่ราว 60% ของเดนมาร์กเป็นพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด ร่วมกับบังกลาเทศ ตามรายงานของรัฐสภาเดนมาร์ก

อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติโดยการลงคะแนนเสียงในรัฐสภา ซึ่งยังไม่มีการกำหนดวันที่ชัดเจน ขณะที่ท่าทีของ พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด เช่น พรรคประชาชนเดนมาร์ก (DF) ได้ผู้วิพากษ์วิจารณ์แผนดังกล่าว ในขณะที่กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น กรีนพีซ กล่าวว่าแผนดังกล่าวยังไม่ทะเยอทะยานเพียงพอ

ขณะที่ พรรคฝ่ายซ้ายอย่าง Red Green Alliance ถอนตัวจากการเจรจาเพื่อสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว โดยระบุว่าแผนนี้ไม่ได้ดำเนินการมากพอที่จะปกป้องสภาพอากาศและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล

“ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของเดนมาร์ก และทำให้การเป็นชาวเดนมาร์กต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องสภาพอากาศ เนื่องจากเดนมาร์กปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยมากในระดับโลก” มอร์เทน เมสเซอร์ชมิทท์ หัวหน้าพรรค DF กล่าว

ทั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลยังมั่นใจว่ากฎหมายนี้จะผ่าน โดย ลาร์ส อาการ์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสภาพอากาศ พลังงาน และสาธารณูปโภคของเดนมาร์ก กล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ความเต็มใจที่ช่วยโลก ของเดนมาร์ก

“ข้อตกลงนี้ยังแสดงให้เห็นถึงแบบจำลองของเดนมาร์กด้วย ซึ่งก็คือเสียงส่วนใหญ่ทางการเมืองในรัฐสภาและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากภาษี และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราทุกคนได้รับประโยชน์ หากส่วนอื่น ๆ ของโลกสามารถส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าวในการต่อสู้กับสภาพอากาศ”


ที่มา: BBCThe Copenhagen PostThe Local DK