ไทยเตรียมประกาศแผนเปิดกว้าง ตลาดคาร์บอน ตามข้อตกลงปารีส Article 6.2 และ 6.4

ไทยเตรียมประกาศแผนเปิดกว้าง ตลาดคาร์บอน ตามข้อตกลงปารีส Article 6.2 และ 6.4

"ไทย" เร่งสร้างความพร้อมตลาดคาร์บอนเครดิต หลัง COP29 เคาะ 2 มาตรา Paris Agreement ข้อตกลงตลาดคาร์บอน หนุนซื้อขายคาร์บอน ทั้งแบบ G2G และระบบศูนย์กลางที่โดยสหประชาชาติสำหรับประเทศหรือบริษัทต่างๆ ไทยเน้นเปิดรับโครงการเทคโนโลยีสูง ทุนสูง

คาร์บอนเครดิตเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) มาตั้งแต่ปี 2558 มุ่งหวังให้มีระบบการซื้อขายคาร์บอนข้ามพรมแดนที่ควบคุมได้ เพื่อแต่ละประเทศบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม การทำให้ระบบปฏิบัติได้จริงใช้เวลานาน และเพิ่งจะสมบูรณ์และประกาศให้ใช้ทั้ง Article 6.2 และ 6.4 ในการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ COP29 ที่เพิ่งจบไป

การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงต้องพิจารณาและเตรียมพร้อมเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“อโณทัย สังข์ทอง” ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ให้สัมภาษณ์กับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ว่า การรับรองคาร์บอนเครดิตมีการแบ่งออกเป็นหลายระดับ แต่ละระดับมีบทบาทและวิธีการดำเนินงานแตกต่างกัน ดังนี้

  • กลไกที่ 1 : เป็นกลไกระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากองค์กร UNFCCC ที่ได้พัฒนาตัว แนวทา เช่น Paris Agreement Article 6.2 และ Article 6.4
  • กลไกที่ 2 : เป็นกลไกของระดับประเทศหรือภูมิภาค เช่น ในประเทศไทยมีโครงการ T-VER, ญี่ปุ่นมี J-Credit และจีนมี CCER ในการส่งเสริมผู้พัฒนาโครงการดำเนินตามมาตรฐาน โดยมีการรับรองคาร์บอนเครดิตจากหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ
  • กลไกที่ 3 : เป็นกลไกอิสระ ที่ผู้พัฒนาโครงการทั่วโลกสามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐานขององค์กรอิสระนั้นๆ เช่น VERRA ในสหรัฐอเมริกา และ Gold Standard ในสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนในประเทศไทยเองก็มีองค์กรเอกชนบางรายที่ดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรฐานจอง VERRA และ Gold Standard เพียงแต่ผู้ที่รับรองคาร์บอนเครดิตจะไม่ใช่ อบก. โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอิสระจะสามารถซื้อขายในตลาดสมัครใจได้

Article 6.2 และ 6.4 ต่างกันอย่างไร?

“อโณทัย” กล่าวว่า Article 6.2 เป็นการส่งเสริมการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ ผ่าน Bilateral Agreements (BA) ซึ่งหมายถึงการทำ MOU ระหว่าง “รัฐบาลกับรัฐบาล” (Government to Government : G2G) ของ 2 ประเทศ โดยมาตรฐานขึ้นอยู่กับสองประเทศจะตกลงกันว่าจะใช้มาตฐานอะไร

เช่น ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสวิตเซอร์แลนด์ในการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านโครงการ Bangkok E-bus ที่เป็นโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลก

โครงการนี้ดำเนินการภายใต้มาตรฐาน T-VER และสอดคล้องกับ Guidance ที่ออกโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) จากการประชุม COP26 ปี 2564 โดยที่ทางสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ให้การสนับสนุนแก่ไทย ทั้งในเรื่องของเงินทุนและเทคโนโลยี ส่วนไทยเป็นเจ้าภาพทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก

"เป็นการนำร่องเอารถเมล์เอกชนที่ใช้พลังงานฟอสซิลมาเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า โดยมีบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) เป็นผู้พัฒนาโครงการ ภายในกรอบเวลาที่กำหนดคือ 10 ปี มีการคำนวณว่าลดก๊าซเรือนกระจกได้ลดได้และจะถ่ายโอนออกไป 5 แสนตันให้สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ก็ต้องนำยอดนี้ไปปรับบัญชีก๊าซเรือนกระจกของไทย คือ บวกกลับยอดปล่อยคาร์บอนเข้ามาตามยอดที่ถ่ายโอนออกไป เพื่อหลีกเหลี่ยงการนับซ้ำ”

ขณะที่ Article 6.4 คือ UNFCCC เป็นฝ่ายออกแนวทางการขึ้นทะเบียน การรับรองคาร์บอนเครดิต และการวัดผลรายงาน เป็นกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน สามารถซื้อขายระหว่างประเทศได้ โดยเอกชนหรือใครที่มีความพร้อมก็สามารถมาทำได้ แต่โครงการต้องผ่านการรับรองจาก DNA (Designated National Authority) ของประเทศนั้นๆ ซึ่งในประเทศไทยคือ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.)

โดย สส. จะมีหลักการพิจารณาผู้พัฒนาที่อยากทำโครงการ แล้วต้องยื่นหนังสือให้เสนอเข้า ครม. ก่อนที่จะดำเนินโครงการได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ก็อยู่ระหว่างการร่างประกาศ และดูว่าโครงการประเภทไหนที่ควรอยู่ในขอบเขตพิจารณา

“โครงการที่ดูว่ามีแนวโน้มจะได้รับความเห็นชอบ จะเป็นโครงการมีการลงทุนค่อนข้างสูง เช่น Carbon Capture Storage (CCS) และเทคโนโลยีที่ไทยไม่มีโนวฮาว์ เพราะถ้าโครงการที่เงินลงทุนต่ำหรือที่ไทยทำได้เองอยู่แล้ว เช่น โซล่ารูฟท็อป ก็อาจจะมีแนวโน้มที่ไม่ได้รับอนุญาติ เพราะการที่เราถ่ายโอนเครดิตคาร์บอนออกจากประเทศมากๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะจะเพิ่มภาระในการลดก๊าซเรือนกระจกของเรามากขึ้น”

อิมแพ็คจาก COP29

“อโณทัย” กล่าวว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีปี 2559 จนถึงปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท เราซื้อขายไปแล้วประมาณ 3.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งราคาคาร์บอนเครดิตแต่ละประเภทโครงการไม่เท่ากัน สามารถเข้าเว็บไซต์ตลาดคาร์บอนเพื่อดูสถิติการซื้อขายและราคาของคาร์บอนเครดิตแต่ละประเภทโครงการได้จาก www.carbonmarket.tgo.or.th เราจะมีการเก็บข้อมูลราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาเฉลี่ยต่อวัน

พอมี Article 6.4 ขึ้นมาหรือหลังจาก COP29 จะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน “อโณทัย” บอกว่า มันก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้พัฒนาโครงการที่จะมีการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก สามารถที่จะใช้กลไกการรับรองตาม Article 6.4 ดำเนินการได้ ซึ่งหมายความว่ามีการยอมรับของประเทศสมาชิกภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้ง 198 ประเทศ ไม่ว่าจะทำโครงการในลาว ไทย หรือประเทศอื่นๆ ก็มีความน่าเชื่อถือและสามารถซื้อขายถ่ายโอนกันได้
ตลาดคาร์บอนเครดิตในอนาคต

“ตลาดคาร์บอนเครดิตในอนาคตต้องแยกเป็นสองส่วน ในส่วนของภาคสมัครใจ คือผู้ซื้อจะซื้อเพื่อกิจกรรม CSR ดังนั้น แนวโน้มการเติบโตในภาคนี้อาจจะไม่สูงมาก โดยปริมาณการซื้อขายต่อปีอยู่ที่ประมาณ 800,000 ถึง 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

แต่ในอนาคตต้องรอให้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะมีมาตรการบังคับในเรื่องของการจำกัดสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของนิติบุคคลที่มีการปล่อยสูง หรือที่เรียกว่าระบบ ETS (Emission Trading Scheme)"

ระบบ ETS จะมีการเชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ โดยสามารถใช้คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจแปลงเป็นสิทธิได้ 15% ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นดีมานด์จากภาคบังคับ ทำให้ความต้องการคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจสูงขึ้น

ดังนั้น หากในอนาคตมีการประกาศว่าคาร์บอนเครดิตที่สามารถแปลงเป็นสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ได้แก่โครงการประเภทใด แนวโน้มการเติบโตของโครงการเหล่านั้นก็จะสูงขึ้นประมาณ 15%

ขณะที่ทั่วโลกจะเห็นว่าตลาดคาร์บอนเครดิตในภาคสมัครใจยังมีอยู่ แต่อาจจะไม่ได้มีดีมานด์มากมาย จะมีปริมาณตามกลุ่มเฉพาะเท่านั้น แต่เมื่อภาคสมัครใจไปเชื่อมกับภาคบังคับ มันจะมีดีมานด์จากภาคบังคับเข้ามากระตุ้นให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น และปริมาณก็จะสูงขึ้นตามมา เช่น มาตราการ CORSIA ของภาคการบิน, มาตราการ ETS ของประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นต้น

ผลจากภาษีคาร์บอน

หากมีเรื่องของภาษีคาร์บอนในปีหน้าจะกระตุ้นตลาดคาร์บอนมากแค่ไหน?

“อโณทัย” กล่าวว่า อันนี้ต้องรอดูกัน แต่ตามข่าวที่ออกไปว่าทางกรมสรรพสามิตมีแนวคิดในการปรับวิธีการคิดภาษี โดยใช้สูตรในการคำนวณจากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมัน ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในลิสต์ของกรมสรรพสามิตในการจัดเก็บภาษีเอ็กไซส์แท็ก (Excise Tax)

วิธีการคิดก็คือเอาค่า Emission Factor ของน้ำมันแต่ละชนิดมาคูณกับราคาคาร์บอน แล้วออกมาเป็นภาษีคาร์บอนที่จัดเก็บต่อลิตร ในระยะที่หนึ่ง ที่กรมสรรพสามิตแจง ราคาที่เป็นการจัดเก็บภาษีคาร์บอนไม่ได้มีผลกระทบต่อราคามาก เพราะสุดท้ายแล้วราคามันจะใกล้เคียงกับเอ็กไซส์แท็กปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าเอ็กไซส์แท็กที่จัดเก็บสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันจะเป็นตามปริมาณ แต่ตอนนี้จะเปลี่ยนวิธีการคำนวณมาเป็นคาร์บอนฟุตพรินต์ของน้ำมันแต่ละชนิดคูณกับราคาคาร์บอนที่กรมสรรพสามิตกำหนด ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200 บาท สุดท้ายก็จะออกมาเป็นราคาภาษีคาร์บอนที่อยู่ประมาณ 0.5-0.6 บาทต่อลิตร ซึ่งราคาก็จะใกล้เคียงกับเอ็กไซส์แท็กปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่แล้ว

“อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้พลังงาน เราต้องรอให้การจัดเก็บภาษีคาร์บอนภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน”