โลกขาดแคลน 'ทราย' ขั้นวิกฤติ บริษัทรีไซเคิล ทำทรายจากขวดแก้ว ถมชายฝั่ง

ทราย กรวด และมวลรวมเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกใช้ประโยชน์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากน้ำ การใช้วัสดุเหล่านี้เพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ระหว่าง 40,000-50,000 ล้านเมตริกตันต่อปี คาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากความต้องการยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการขยายตัวของเมือง การเติบโตของประชากร และแนวโน้มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

UN Environment Programme/GRID-Geneva (UNEP/GRID) ระบุว่า การหาทรายและกรวดในบริเวณใกล้เคียงศูนย์กลางเมืองและอุตสาหกรรมนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัญหาการเข้าถึง การยอมรับทางสังคม และปัจจัยอื่นๆ ส่งผลให้สถานที่สกัดทรายเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมที่เปราะบางมากขึ้น เช่น แม่น้ำ ชายฝั่งทะเล และมหาสมุทร ซึ่งเมื่อรวมกับความต้องการทรายที่เพิ่มขึ้นแล้ว จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ

นอกจากนั้น สิ่งนี้ยังทำให้เกิดการทำเหมืองทรายผิดกฎหมายซึ่งกลายเป็นตลาดมืดที่ทำกำไรแต่สร้างความเสียหาย แนวทางปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้เกิดปัญหาความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก

2 นักศึกษา แก้ทรายขาดแคลน

Franziska Trautmann และ Max Steitz เริ่มต้นธุรกิจรีไซเคิลแก้ว "Glass Half Full" (GHF) เมื่อกุมภาพันธ์ปี 2020 โดยตอนนั้นพวกเขาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane) รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากความตั้งใจที่จะรีไซเคิลเปลี่ยนขยะแก้วให้เป็นทรัพยากรในชุมชน เพื่อลดขยะไปหลุมฝังกลบ

แต่พวกเขาก็ได้ค้นพบวิกฤตในพื้นที่ที่ต้องการการแก้ไขโดยด่วน คือ แนวชายฝั่งของนิวออร์ลีนส์ที่กำลังหดตัว โดยในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พื้นที่เกาะแนวป้องกันของรัฐลุยเซียนาลดลงมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ และบางเกาะสูญเสียพื้นที่แผ่นดินไปมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ หากอัตราการสูญเสียนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดว่ากำแพงกั้นน้ำทางธรรมชาติหลายแห่งจะพังทลายลงหมดภายในสามทศวรรษข้างหน้า จึงได้ใช้ขวดแก้วที่บดละเอียด เป็นทรายถมแนวชายฝั่ง และปลูกต้นไม้ เพราะองค์ประกอบหลักของแก้วคือซิลิกา ซึ่งก็คือทรายนั่นเอง

ในตอนแรก Trautmann และ Steitz รวบรวมขวดแก้วจากเพื่อนๆ ล้าง และทำการบดให้ละเอียดด้วยเครื่องบดง่ายๆ แต่หลังจากที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานเกี่ยวกับภารกิจของพวกเขา กองแก้วในสวนหลังบ้านของพวกเขาก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จนในไม่ช้าก็สามารถระดมทุนได้ 18,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อเครื่องจักรระดับมืออาชีพในการบดแก้วให้เป็นทราย

ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เก็บแก้วในสวนหลังบ้านอีกต่อไป แต่ได้ย้ายไปยังโรงงานแบบมืออาชีพขนาด 40,000 ตารางฟุตเมื่อเดือนสิงหาคม 2020 ซึ่งมีระบบการประมวลผล รถยก และตู้คอนเทนเนอร์

จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Steitz และ Trautmann ก็สามารถรีไซเคิลแก้วรวมน้ำหนักประมาณ 100,000 ปอนด์ (45,359 กิโลกรัม) ต่อเดือน ที่โรงงานของเขา โดยมีพนักงานเพียง 8 คน และไม่ได้เน้นกำไรมาก เพราะจุดประสงค์หลักก็เพื่อประโยชน์ทางสังคม

แหล่งทรายที่ยั่งยืน

ทรายที่มาจากแหล่งที่ถูกต้องตามจริยธรรมและยั่งยืน ที่ไม่ใช่การขุดหรือสกัดนั้นดีกว่า โดยทราย Glass Half Full สร้างขึ้นเสนอทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการสกัดทรายแบบเอารัดเอาเปรียบ เช่น การขุดลอกและการทำเหมือง ซึ่งทำลายระบบนิเวศในท้องถิ่น ก่อให้เกิดวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่ง และมีค่าใช้จ่ายหลายล้านต่อปี

ทั้งนี้ การฟื้นฟูชายฝั่งของลุยเซียนาจะต้องใช้ทรายหลายแสนลูกบาศก์หลา ซึ่งจะยิ่งทำให้การกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงขึ้นหากมีการขุดลอกและดูดทรายจากก้นทางน้ำ

ใช้ทรายจากขวดแก้วฟื้นฟูชายฝั่ง

เป้าหมายสูงสุดของ Glass Half Full คือการใช้ทรายรีไซเคิลเพื่อช่วยฟื้นฟูแนวชายฝั่งของลุยเซียนาที่ถูกกัดเซาะ ลุยเซียนาสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำไปหนึ่งในสี่ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 อันเป็นผลมาจากโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องชุมชนและธุรกิจจากน้ำท่วม

แม้ว่าโครงการนั้นจะมีเจตนาดี แต่โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างได้กันการตกตะกอนลงสู่พื้นที่ชุ่มน้ำของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่สำคัญต่อการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่ง เป็นผลให้แผ่นดินหายไปเร็วกว่าที่จะสร้างขึ้นใหม่ได้

นอกจากนั้น Trautmann และ Steitz ร่วมกับชนเผ่าอินเดียน Pointe au Chien และมหาวิทยาลัย Tulane หลังจากได้รับทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พวกเขาร่วมกันฟื้นฟูหนองบึงบางส่วนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ Big Branch Marsh บนชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบ Pontchartrain ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ReCoast ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อฟื้นฟูชายฝั่งลุยเซียนา (CRCL)

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ดำเนินการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าทรายจากขวดแก้วรีไซเคิลจะไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และไม่มีสารเคมีซึมเข้าไปในพืช และ Glass Half Full ยังใช้ทราบใส่ถุงกระสอบเพื่อแจกให้กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ใช้ป้องกันน้ำท่วม ช่วงพายุเฮอริเคน

พวกเขาร่วมมือกับช่างเป่าแก้ว และทำงานร่วมกับนักออกแบบเครื่องประดับ เพื่อก่อตั้งร้านขายเครื่องประดับชื่อว่า Nola Alchemy ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความงามของแก้วรีไซเคิลที่ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นของสวยงามได้

Trautmann และ Steitz ยังได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ โดย Trautmann ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 17 ผู้นำเยาวชนสำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในปี 2020

 

อ้างอิง : UNEPGRID, Glass Half Full, Reasons to be Cheerful

ภาพ : Facebook/glasshalffullco