เส้นทางความยั่งยืนของ Dior ความหรูหรากับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
"Dream in Green" สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งของ Dior ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ในขณะที่รักษาความหรูหราและความเป็นเลิศ
KEY
POINTS
- ความฝันสีเขียว ค่านิยมหลักและการดำเนินงานของ Dior ไปสู่ความยั่งยืน
- ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 46% ภายในปี 2030
- สนับสนุนการอนุรักษ์พื้นที่ป่า 15,000 เฮกตาร์
- ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ 100% ที่ปลูกในสวนของ Dior และตั้งเป้าได้รับการรับรองโดย Union for Ethical BioTrade ภายในปี 2026
ในโลกปัจจุบัน ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ทำให้แบรนด์หรูต่างๆ เริ่มตระหนักถึงบทบาทของตนในการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หนึ่งในแบรนด์ที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้คือ Dior ซึ่งได้ผนวกความยั่งยืนเป็นค่านิยมหลักและการดำเนินงาน
ความรักที่มีต่อธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญของ Dior มาตั้งแต่ปี 1947 โดยผู้ก่อตั้ง “คริสเตียน ดิออร์” ให้ความสำคัญกับความงามของสวนและดอกไม้ตลอดจนความหลากหลายของธรรมชาติ และมักจะปรากฏอยู่ในคอลเลกชั่นและการออกแบบชุดโอตกูตูร์ของเขา ที่ต่อมาได้รับการสร้างสรรค์ใหม่โดยผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แต่ละคน
"Dream in Green"
Dior มักเกี่ยวข้องกับความหรูหราและความสง่างาม อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์ได้กลายเป็นผู้นำในด้านความยั่งยืนผ่านโครงการ "Dream in Green" ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรม และการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันโลกมีทรัพยากรจำกัด Dior จึงใช้วิธีผนึกวัตกรรมเข้ากับความร่วมมือระดับโลกและระดับท้องถิ่นที่ปรับให้เข้ากับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละภูมิภาคและทุกประเทศ และได้จัดตั้งคณะกรรมการ Dream in Green ซึ่งเป็นบุคลากรที่มาจากทุกแผนกของ Dior โดยทีมจะประชุมกันทุกเดือนเพื่อวัดผลและส่งเสริมความก้าวหน้าในความเป็นเลิศด้านสิ่งแวดล้อม
3 เสาหลักแห่งความฝันสีเขียว
Dream in Green ของ Dior ประกอบไปด้วยแนวคิด 3 เสาหลักคือ
1. ทรัพยากรธรรมชาติ
Dior ใช้วิธีการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่คอลเลกชั่นไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ และยังรวมถึงการใช้วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (circular) ตั้งแต่ฝ้ายไปจนถึงผ้าไหม จากขนสัตว์ไปจนถึงผ้าแคชเมียร์
นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ถูกสร้างให้ทนทาน ซ่อมแซมได้ และรีไซเคิลได้ ซึ่งสะท้อนถึงสาระสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน การที่ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นจะช่วยลดขยะ แนวทางนี้ไม่เพียงแค่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมวัฒนธรรมความยั่งยืนในหมู่ผู้บริโภค
2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ต้องการมีส่วนช่วยในการชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดำเนินการของ Dior ตอบสนองต่อความเร่งด่วนนี้ จากกิจกรรมต่างๆ ทั้งการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน การปลูกป่า และการปรับปรุงบูติก Dior เพื่อให้ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม "Positive Luxury Butterfly Mark" ที่รับรองความยั่งยืนที่มอบให้กับแบรนด์หรูที่มีมาตรฐานสูงในด้านการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของ Dior อย่างมีนัยสำคัญ
3. พนักงาน
ความมุ่งมั่นของพนักงาน ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ไปจนถึงช่างฝีมือ ล้วนเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด Dior เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และพัฒนาโครงการตามความคิดริเริ่มของตนเองด้วยโปรแกรมภายในองค์กร "My Dream in Green" ซึ่งเป็นการสะท้อนเอกลักษณ์ขององค์กร นั่นคือ บ้านที่ยึดมั่นในความสำคัญกับธรรมชาติเป็นอันดับแรกเสมอมา
เป้าลดรอยเท้าคาร์บอน
"Dream in Green" ความพยายามด้านความยั่งยืนของ Dior ไม่ได้เพียงแค่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของบริษัท และเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว Dior ได้ตั้งเป้าหมายความยั่งยืนที่ท้าทาย เช่น ภายในปี 2030 Dior มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 46% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2019
และวัตถุดิบธรรมชาติในผลิตภัณฑ์ของ Dior ต้องได้รับการรับรองจาก Union for Ethical BioTrade (UEBT) 100% ภายในปี 2026 วิสัยทัศน์ระยะยาวนี้มั่นใจว่าความพยายามด้านความยั่งยืนของ Dior ไม่ได้เพียงแค่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของบริษัท
น้ำหอม Christian Dior หนุน WWF
Christian Dior Parfum ได้ร่วมมือกับกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) เพื่อสนับสนุนโครงการที่มุ่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่ป่าในฝรั่งเศสและอเมริกาเหนือ โดยในฝรั่งเศส Dior ได้ทำการอนุรักษ์ที่อยู่อาศัยในป่าในภูมิภาคจูรา, โวส์เจส และแวร์กอร์ รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยประชากรของสิงโตเอเชีย
ขณะที่ในอเมริกาเหนือ Christian Dior Parfum ฟื้นฟูพื้นที่ป่าธรรมชาติ 15,000 เฮกตาร์ ที่ยืดยาวจากเม็กซิโกไปจนถึงสหรัฐอเมริกา โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างและรักษาที่อยู่อาศัยสำหรับเสือจากัวร์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่จำนวนประชากรถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาตินี้มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เสือจากัวร์สามารถกลับคืนสู่ดินแดนของตนและประกันความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทั้งหมด
การปกป้องที่อยู่อาศัยธรรมชาติมีความสำคัญในการสร้างและรักษาทางเดินธรรมชาติที่ทำให้สัตว์ป่า สามารถดำรงชีวิตและเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้ โดย Dior มุ่งเน้นทำในพื้นที่กว้างใหญ่เพราะจะมีผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบนิเวศและการรักษาสายพันธุ์ที่สำคัญ
สวนดอกไม้ Dior
Dior's Gardens เป็นสถานที่พิเศษที่มีทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Dior และคนท้องถิ่นทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพของดอกไม้ ที่ใช้เป้นวัตถุดิบเครื่องสำอาง และน้ำกหอม
เช่น สวนกุหลาบ de Granville ตั้งอยู่ในแคว้นลัวร์ ประเทศฝรั่งเศส ปลูกกุหลาบ 800 ต้นแบบออร์แกนิค โดยไม่ใช้ปุ๋ย เพื่อให้ได้สารสกัดจากกุหลาบที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพทางชีวภาพ 100%
สวน Longoza ในประเทศมาดากัสการ์ สวนนี้เน้นการปลูกดอก Longoza ที่ถูกเก็บเกี่ยวปีละครั้งตามวิธีปฏิบัติที่สืบทอดกันมา
สวนไอริส ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี สร้างขึ้นผ่านความร่วมมือกับสหกรณ์ Toscana Giaggiolo ปลูกต้นไอริสด้วยมือถึง 2,300 ต้น
สวน Hibiscus แดงในประเทศบูร์กินาฟาโซ ดอก Hibiscus แดงจากสวนนี้มีประสิทธิภาพเครื่องสำอางที่ยอดเยี่ยมและถูกใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของ Dior
สวนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Dior ต่อความยั่งยืนและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้วัตถุดิบธรรมชาติที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนถูกปลูกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม
เป้าหมายของ Dior สำหรับสวน 42 แห่งที่รวมถึงสวนของพันธมิตร คือการมุ่งสู่แนวทางการเกษตรแบบฟื้นฟู ขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มสัดส่วนการรับรองผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกในช่องทางอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด ในฐานะสมาชิกของสหภาพการค้าชีวภาพเพื่อจริยธรรม (UEBT) Dior มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงผลกระทบที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพและสังคมอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง : Dior