10 ภาพยนตร์ที่แฝงแง่คิดด้านความยั่งยืน ที่หลายคนอาจยังไม่รู้
ภาพยนตร์เหล่านี้สามารถจุดประกายให้ผู้คนนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการแสดงตัวอย่างการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ยังทำให้บริษัทและรัฐบาลต้องรับผิดชอบ และออกนโยบายและการปฏิบัติที่ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม
โลกของภาพยนตร์ไม่ได้มีเพียงแค่การบันเทิง แต่ยังเป็นแหล่งแรงบันดาลใจและความรู้มากมายที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของผู้ชมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ หลายภาพยนตร์ได้สอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับความยั่งยืนผ่านเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและน่าติดตาม
ในบทความนี้ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ จะพาคุณไปรู้จักกับภาพยนตร์ 10 เรื่องที่ไม่เพียงแต่มีความสนุกสนาน แต่ยังแฝงแง่คิดด้านความยั่งยืน ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แล้วมาดูกันว่าภาพยนตร์เหล่านี้สามารถให้แรงบันดาลใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
1. Don't Look Up (2021)
เป็นภาพยนตร์แนวเสียดสีวิทยาศาสตร์กำกับโดย Adam McKay นำแสดงโดย Jennifer Lawrence และ Leonardo DiCaprio ในบทบาทของนักดาราศาสตร์สองคนที่ค้นพบอุกกาบาตขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงมายังโลก พวกเขาพยายามที่จะเตือนโลกเกี่ยวกับหายนะที่กำลังจะมาถึง แต่พบกับอุปสรรคมากมาย
รวมถึงรัฐบาลที่ไม่สนใจ และสื่อที่ให้ความสำคัญกับความบันเทิงมากกว่าวิทยาศาสตร์
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังตลกร้ายที่ใช้ความขบขันในการวิจารณ์การตอบสนองของสังคมต่อคำเตือนทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม
ภาพ: Netflix
2. Erin Brockovich (2000)
เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริง กำกับโดย Steven Soderbergh และเขียนบทโดย Susannah Grant ภาพยนตร์นี้นำแสดงโดย Julia Roberts ในบท Erin Brockovich-Ellis หญิงแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถึงแม้จะเผชิญกับความท้าทายส่วนตัวมากมาย แต่กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญในการสร้างคดีฟ้องร้องบริษัท Pacific Gas and Electric Company (PG&E) ฐานปนเปื้อนแหล่งน้ำใน Hinkley, California ด้วยโครเมียมเฮกซาวาเลนท์ ซึ่งเป็นสารพิษ
ภาพยนตร์นี้ติดตามเส้นทางของ Erin จากการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ว่างงานจนได้กลายเป็นผู้ช่วยด้านกฎหมายที่สำนักงานกฎหมายของ Ed Masry (รับบทโดย Albert Finney) ขณะทำงานในคดีอสังหาริมทรัพย์ Erin ค้นพบเอกสารทางการแพทย์ที่นำเธอไปสู่การเปิดเผยหายนะด้านสิ่งแวดล้อมใน Hinkley ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเธอและความสามารถในการเชื่อมโยงกับผู้คนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทำให้เกิดคดีฟ้องร้องโดยตรงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
หนัง "Erin Brockovich" ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์และทำรายได้กว่า 256 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก Julia Roberts ได้รับรางวัล Academy Award for Best Actress จากการแสดงของเธอ และภาพยนตร์ได้รับรางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม
3. Breaking Boundaries: The Science of Our Planet (2021)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Jon Clay และนำเสนอโดย David Attenborough และนักวิทยาศาสตร์ Johan Rockström ภาพยนตร์นี้สำรวจวิธีที่กิจกรรมของมนุษย์กำลังผลักดันให้โลกเกินขอบเขตที่รักษาเสถียรภาพของดาวเคราะห์มาเป็นเวลา 10,000 ปี
โดยติดตามการเดินทางทางวิทยาศาสตร์ของ Rockström และทีมงานของเขาในขณะที่พวกเขาค้นพบขอบเขตของดาวเคราะห์ทั้งเก้า ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นกรดในมหาสมุทร
สารคดีนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการล่มสลายของระบบนิเวศน์ของโลก ภาพยนตร์ผสมผสานภาพที่สวยงาม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการบรรยายที่ชวนให้หลงใหลของ Attenborough เพื่อส่งมอบข้อความที่ทรงพลังเกี่ยวกับความสำคัญของความยั่งยืนและการอนุรักษ์
4. 2040 (2019)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Damon Gameau ภาพยนตร์นี้สำรวจศักยภาพในอนาคตของโลก หากเรานำเทคโนโลยีและโซลูชันที่ยั่งยืนที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Gameau นำเสนอภาพยนตร์นี้เป็นจดหมายถึงลูกสาวตัวน้อยของเขา โดยจินตนาการว่าภาพของโลกจะเป็นอย่างไรเมื่อเธออายุ 21 ปีในปี 2040
สารคดีนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น พลังงานหมุนเวียน เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู การขนส่งที่ยั่งยืน และการเพาะเลี้ยงในทะเล มันเน้นว่าโซลูชันเหล่านี้สามารถช่วยย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสร้างโลกที่ยั่งยืนและเท่าเทียมมากขึ้นได้อย่างไร ภาพยนตร์นี้มีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและนักนวัตกรรมที่แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและวิสัยทัศน์ของพวกเขาสำหรับอนาคตที่ดีกว่า
"2040" ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากวิธีการที่เน้นทางออกและมองโลกในแง่ดีในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม มันมีเป้าหมายที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมดำเนินการและเชื่อในความเป็นไปได้ของอนาคตที่สดใสกว่าเดิม
5. The Boy Who Harnessed the Wind (2019)
เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่กำกับโดย Chiwetel Ejiofor ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวครั้งแรกของเขา โดยเล่าเรื่องจริงที่สร้างแรงบันดาลใจของเด็กชายชาวมาลาวีวัย 13 ปีชื่อ William Kamkwamba ที่สร้างกังหันลมเพื่อช่วยหมู่บ้านของเขาจากความอดอยาก
เรื่องราวติดตาม William ซึ่งมีความหลงใหลในวิทยาศาสตร์และการทดลองอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อภัยแล้งอย่างรุนแรงกระทบหมู่บ้านของเขา ทำให้เกิดความอดอยากที่น่ากลัว William ใช้ความรู้จากหนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างกังหันลมที่สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้กับปั๊มน้ำ ช่วยให้การชลประทานในทุ่งนาและช่วยชีวิตครอบครัวและชุมชนของเขาได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกสำหรับการนำเสนอที่ยกระดับจิตใจและเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นของการเดินทางของ William รวมถึงการกำกับของ Ejiofor และการแสดงของนักแสดง ภาพยนตร์นี้ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2019 และเริ่มฉายบน Netflix ในเดือนมีนาคม 2019
6. Kiss the Ground (2020)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Joshua Tickell และ Rebecca Harrell Tickell ภาพยนตร์นี้บรรยายโดย Woody Harrelson และมีนักแสดงที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Gisele Bündchen, Tom Brady, Jason Mraz และ Ian Somerhalder
สารคดีนี้มุ่งเน้นไปที่ การเกษตรเชิงฟื้นฟู ซึ่งเป็นแนวทางการทำฟาร์มที่มุ่งฟื้นฟูและรักษาดินที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และปรับปรุงความมั่นคงทางอาหาร ภาพยนตร์นี้เน้นถึงการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ เกษตรกร และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นผู้นำในขบวนการระดับโลกนี้
"Kiss the Ground" ได้รับการชื่นชมสำหรับข้อความที่สร้างแรงบันดาลใจและมองโลกในแง่ดี รวมถึงภาพที่น่าดึงดูดและเนื้อหาที่ให้ข้อมูล มันชี้ให้เห็นว่าด้วยการฟื้นฟูดินของโลก เราสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับภูมิอากาศของโลก ฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างความมั่นคงทางอาหารที่เพียงพอ
7. I Am Greta (2020)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Nathan Grossman ที่ติดตามชีวิตและการเคลื่อนไหวของ Greta Thunberg นักกิจกรรมด้านสภาพภูมิอากาศชาวสวีเดน ภาพยนตร์นี้ให้ภาพลักษณ์ใกล้ชิดกับการเดินทางของ Greta จากการประท้วงเรื่องสภาพภูมิอากาศเพียงคนเดียวหน้ารัฐสภาสวีเดนจนกลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สารคดีนี้จับภาพสุนทรพจน์ที่ทรงพลังของ Greta การพบปะกับผู้นำโลก และความท้าทายที่เธอเผชิญในฐานะนักกิจกรรมของคนที่มีอาการ Asperger หนังเน้นถึงความมุ่งมั่นของเธอ ผลกระทบของการเคลื่อนไหวของเธอ และการเสียสละส่วนตัวที่เธอทำเพื่อรณรงค์ให้เกิดการดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อสภาพภูมิอากาศ
"I Am Greta" มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ ภาพยนตร์นี้ได้รับการชื่นชมสำหรับการนำเสนอที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับภารกิจของ Greta
หมายเหตุ: กลุ่มอาการออทิสติกสเปกตรัม ที่มี Asperger มักมีความยากลำบากในการเข้าสังคม และอาจมีพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆ หรือสนใจเรื่องเฉพาะมากๆ
8. David Attenborough: A Life on Our Planet (2020)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Alastair Fothergill, Jonnie Hughes, และ Keith Scholey บรรยายโดยนักธรรมชาติวิทยาที่มีชื่อเสียง David Attenborough โดยทำหน้าที่เป็น "คำให้การพยาน" ของเขาต่อโลกธรรมชาติ
สารคดีสะท้อนถึงชีวิตและอาชีพของ Attenborough โดยแสดงช่วงเวลาสำคัญและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เขาได้เห็นในสิ่งแวดล้อมตลอดหลายทศวรรษ จึงให้ภาพรวมของการสูญเสียธรรมชาติทั่วโลกและผลกระทบของกิจกรรมของมนุษย์ต่อโลก
Attenborough แบ่งปันความกังวลของเขาเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของโลกและเสนอความหวังสำหรับอนาคตโดยการเน้นการกระทำที่สามารถป้องกันความเสียหายเพิ่มเติมและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ภาพยนตร์นี้เน้นถึงความสำคัญของการฟื้นฟูธรรมชาติ การขจัดความยากจน การจัดหาการดูแลสุขภาพทั่วโลก และการปรับปรุงการศึกษาของเด็กผู้หญิงเพื่อรักษาสมดุลของประชากรมนุษย์และต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สารคดีนี้ได้ออกฉายบน Netflix เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2020 และได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกสำหรับข้อความที่ลึกซึ้งและสร้างแรงบันดาลใจ
9. An Inconvenient Truth (2006)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Davis Guggenheim และนำเสนอโดย Al Gore อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ภาพยนตร์นี้เน้นการรณรงค์ของ Gore เพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่อาจทำให้เกิดความหายนะต่อโลก
สารคดีนี้อ้างอิงจากการนำเสนอมัลติมีเดียที่ Gore ได้นำเสนอมากกว่า 1,000 ครั้งทั่วโลก ภาพยนตร์ประกอบด้วยภาพสไลด์และกราฟที่แสดงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเรื่องราวส่วนตัวจากชีวิตของ Gore ที่เน้นถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อมของเขา
"An Inconvenient Truth" ได้รับการยกย่องอย่างมากและได้รับรางวัลออสการ์สองรางวัล: สารคดียอดเยี่ยมและเพลงประกอบยอดเยี่ยมสำหรับเพลง "I Need to Wake Up" ของ Melissa Etheridge ภาพยนตร์ทำรายได้กว่า 49 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก และถูกยกย่องว่าเป็นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม
สารคดีนี้ยังมีการเกิดข้อขัดแย้งบางประการ โดยเฉพาะในสภาพการศึกษาที่ถูกนำไปใช้ในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ภาคต่อของสารคดีนี้มีชื่อว่า "An Inconvenient Sequel: Truth to Power" ออกฉายเมื่อปี 2017
10. Seaspiracy (2021)
เป็นสารคดีที่กำกับโดย Ali Tabrizi ซึ่งสำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมการประมงทั่วโลก ภาพยนตร์นี้เจาะลึกถึงประเด็นต่างๆ เช่น การทำประมงเกินขนาด การจับสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการ มลพิษทางทะเล และการทุจริตในอุตสาหกรรมอาหารทะเล Tabrizi เดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาความจริงเบื้องหลังการปฏิบัติเหล่านี้ และผลกระทบที่ทำลายล้างต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล
สารคดีนี้ท้าทายแนวคิดการทำประมงอย่างยั่งยืนและวิจารณ์องค์กรอนุรักษ์ทางทะเลหลายแห่งที่มีบทบาทในการส่งเสริมฉลากและการรับรองที่ทำให้เข้าใจผิด นอกจากนี้ยังเน้นถึงผลกระทบสำคัญของ "แหผี" (เครื่องมือประมงที่ถูกทิ้งร้าง) และมลพิษจากพลาสติกที่มีต่อมหาสมุทร
"Seaspiracy" สนับสนุนการหยุดบริโภคปลาและสนับสนุนเขตสงวนทางทะเลเพื่อปกป้องระบบนิเวศในมหาสมุทร ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับบทวิจารณ์ที่หลากหลาย โดยบางคนชื่นชมที่มันนำเสนอประเด็นสำคัญ ขณะที่บางคนวิจารณ์ถึงความไม่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์และการแสดงออกที่ไม่ตรงกับความจริงของบางองค์กร