‘เบาบับ’ ซูเปอร์ฟู้ดแห่งแอฟริกา จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สู่พืชเศรษฐกิจ

‘เบาบับ’ ซูเปอร์ฟู้ดแห่งแอฟริกา จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สู่พืชเศรษฐกิจ

“เบาบับ” พืชพื้นเมืองของแอฟริกากลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ได้รับความนิยม แต่ในตอนนี้กำลังถูกคุกคามจากภาวะโลกร้อน และการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มากเกินไป

เบาบับ” (Baobab) พืชที่เป็นสัญลักษณ์ของแอฟริกา และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศอย่างลึกซึ้ง ต้นไม้บางต้นมีอายุนับพันปี และในตอนนี้เบาบับกำลังกลายเป็นพืชดาวรุ่ง มีความต้องการผลิตภัณฑ์จากต้นเบาบับเพิ่มขึ้นมาก หลังจากที่ทั่วโลกรู้ว่าเบาบับมีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ ในระดับ “ซูเปอร์ฟู้ด” แต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้กลายเป็นดาบสองคม ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของต้นไม้โบราณเหล่านี้ 

 

“เบาบับ” ต้นไม้สำคัญในวัฒนธรรมแอฟริกัน

ต้นเบาบับมีถิ่นกำเนิดในอย่างน้อย 37 ประเทศในแอฟริกา และ 2 ประเทศในคาบสมุทรอาหรับ สามารถเติบโตได้ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่น้ำเค็มซัดไปจนถึงทุ่งหญ้าสะวันนา และป่าดิบชื้น ถือเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดชนิดหนึ่งในโลก โดยบางต้นมีอายุมากกว่า 2,000 ปี 

ต้นไม้เหล่านี้สามารถอยู่รอดในภาวะแห้งแล้งเป็นเวลานานได้ด้วยความสามารถในการกักเก็บน้ำไว้ในลำต้นขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสามารถในการฟื้นตัวได้อย่างน่าทึ่ง แต่เติบโตช้า จะเริ่มออกดอกออกผลเมื่ออายุประมาณ 20 ปี แต่หากเติบโตในพื้นที่แห้งแล้ง ต้นไม้มักจะให้ผลครั้งแรกช้ากว่านั้นมาก โดยบางต้นจะเริ่มให้ผลเมื่ออายุ 60 ปี

เบาบับ

ใบของต้นเบาบับเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ขณะที่ลูกมีรสเปรี้ยวจึงช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนเนื้อของต้นเบาบับอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและวิตามินบีรวมไฟเบอร์และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม

น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดของต้นเบาบับถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เปลือกชั้นในสามารถนำมาผลิตเป็นเส้นใย เพื่อนำไปทอเป็นเชือกและตะกร้า ส่วนเปลือกผลจะถูกนำไปทำภาชนะและของใช้ในครัวเรือนอื่น ๆ อีกทั้งสารสกัดจากเปลือกและรากของต้นเบาบับถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในยาแผนโบราณ

ด้วยคุณค่ามากมายของต้นเบาบับ จึงทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ชนิดนี้ศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่คู่กับเรื่องเล่า ตำนานต่าง ๆ โดยมักจะเชื่อมโยงกับวิญญาณ และมีการประกอบพิธีกรรมขึ้นใต้ต้นไม้ชนิดนี้ และมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต” นอกจากนี้ ต้นเบาบับยังทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน โดยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศและเก็บกักคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ช่วยบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้

สำหรับระบบนิเวศ ต้นเบาบับมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เชื้อรา แมลง นก สัตว์เลื้อยคลาน ค้างคาว และลิง ลำต้นขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ระบบรากที่ซับซ้อนช่วยรักษาเสถียรภาพในดินและช่วยป้องกันหน้าดินพังทลาย อีกทั้งใบไม้ที่ร่วงหล่นจะทำให้ดินอุดมไปด้วยสารอาหาร

‘เบาบับ’ ซูเปอร์ฟู้ดแห่งแอฟริกา จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สู่พืชเศรษฐกิจ

“เบาบับ” ซูเปอร์ฟู้ดที่ทั่วโลกต้องการ

สหภาพยุโรปและสหรัฐต่างอนุญาตให้สามารถใช้เบาบับเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม อาหาร ยารักษาโรคจากธรรมชาติ และเครื่องสำอาง โดยมีซิมบับเวกลายเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมนี้ ปัจจุบันสหรัฐ ยุโรป และจีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของผงเบาบับ ศูนย์ส่งเสริมการนำเข้าของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่า ตลาดโลกอาจมีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

เมื่อทั้งหมดกลายเป็นเรื่องธุรกิจ ทำให้สถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของต้นเบาบับกำลังเสื่อมถอยลง ขณะเดียวกันในชุมชนบางแห่ง มองว่าต้นเบาบับเป็นของโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งต้นเบาบับมีเรือนยอดและรากที่แผ่กว้างยังแย่งพื้นที่และสารอาหารจากพืชชนิดอื่น ๆ ส่งผลให้ชุมชนมีแนวโน้มที่จะตัดต้นไม้มากขึ้น

บริษัทต่าง ๆ ในยุโรป ต่างโอบรับเทรนด์นี้ ด้วยการเปิดไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากต้นเบาบับ โดยผงชนิดนี้สามารถนำไปใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่ม ซีเรียล โยเกิร์ต ขนมขบเคี้ยว และสินค้าอื่น ๆ ได้ทั้งหมด ในเยอรมนีขายผงต้นเบาบับ 1 กิโลกรัม มีราคาประมาณ 30 ดอลลาร์ ขณะที่น้ำมันบำรุงความงามจากต้นเบาบับขนาด 100 มิลลิลิตร ขายในสหราชอาณาจักรราคาประมาณ 33 ดอลลาร์

ความต้องการผลผลิตจากต้นเบาบับที่เพิ่มขึ้นเป็นดาบสองคม แม้ต้นเบาบับจะมีอยู่ทั่วทวีปแอฟริกา แต่กว่าจะออกผลได้แต่ละทีก็ใช้เวลานาน ยิ่งมีความต้องการผลผลิตมากเท่าไหร่ ก็ทำให้เกิดความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับการรบกวนการงอกใหม่ตามธรรมชาติ การสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม และสุขภาพของต้นไม้ เพราะชาวบ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยกรรมวิธีหยาบ ๆ เช่น การทุบผลจากพื้นดิน หรือปีนขึ้นไปบนต้นด้วยการใช้ไม้เสียบกับลำต้นเป็นขั้นบันได ซึ่งเป็นอันตรายต่อต้นไม้

ในปี 2022 มีการขนย้ายต้นเบาบับแบบถอนรากถอนโคน 8 ต้นจากเคนยา ข้ามทวีปไปยังจอร์เจีย ในยุโรปตะวันออก ซึ่งสุดท้ายแล้วต้นไม้ทั้ง 8 ต้น ไม่สามารถปรับตัวได้และตายลงในที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการวิจัยเตรียมพร้อมว่าต้นไม้สามารถอาศัยอยู่ในประเทศปลายทางได้หรือไม่

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้ต้นเบาบับดำรงชีวิตยากลำบากกว่าเดิม พวกมันต้องการความชื้นในดินและอากาศในระดับหนึ่ง รวมถึงต้องพึ่งพาแมลงผสมเกสรบางชนิด เช่น ค้างคาวและลูกนก เพื่อการสืบพันธุ์ แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังทำลายสมดุลเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของต้นไม้และความสามารถในการสืบพันธุ์

ในปี 2024 นี้ เบาบับออกผลผลิตน้อย สืบเนื่องมาจากภัยแล้งที่เกิดขึ้น ทำให้คนเก็บผลเบาบับมีรายได้น้อยลง หญิงรายหนึ่งในซิมบับเวกล่าวว่า เธอได้เงิน 17 เซ็นต์ต่อผลไม้หนึ่งกิโลกรัม เธอใช้เวลาเดินในทุ่งหญ้าสะวันนาที่ร้อนอบอ้าวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเก็บผลเบาบับให้เต็มถุง 5 ใบ ถึงจะซื้อข้าวโพดบด 10 กิโลกรัม และในตอนนี้ไม่เหลือผลเบาบับให้เธอเก็บอีกต่อไปแล้ว

Zimtrade หน่วยงานส่งออกของรัฐบาลซิมบับเว กล่าวแสดงความเสียใจที่ได้ผู้เก็บต้นเบาบับมีรายได้น้อย พร้อมระบุว่ากำลังพิจารณาแผนร่วมมือกับคนในชนบทเพื่อตั้งโรงงานแปรรูป

อย่างไรก็ตามการรักษาต้นเบาบับให้อยู่รอดต่อไปได้จะต้องผสมผสานการปกป้องทางวัฒนธรรมและชุมชน การอนุรักษ์และการจัดการในระดับชุมชน นอกจากนี้ยังต้องมีกรอบนโยบายและกฎระเบียบเชิงกลยุทธ์ และความร่วมมือในเวทีระดับชาติและระดับโลก ซึ่งควรสนับสนุนโครงการการยังชีพสำหรับชุมชนด้วยการสนับสนุนห่วงโซ่คุณค่าและจัดให้มีการเชื่อมโยงตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์จากต้นเบาบับ ก

ตลอดจนมีการส่งเสริมเทคนิคการเก็บเกี่ยวที่ยั่งยืน เช่น การปล่อยให้ผลไม้เพียงพอสำหรับการฟื้นฟู จะช่วยปกป้องต้นไม้และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ การบูรณาการความรู้พื้นเมืองกับเครื่องมือ เช่น การวิจัยทางพันธุกรรม จะช่วยเสริมความพยายามเหล่านี้

 

ที่มา: South China Morning PostThe ConversationVOA