ปี 2025 โค้งสุดท้ายภาคธุรกิจปรับตัวรับ CBAM ส่งสินค้าไปยุโรป โดนภาษีคาร์บอน

ปี 2025 โค้งสุดท้ายภาคธุรกิจปรับตัวรับ CBAM ส่งสินค้าไปยุโรป โดนภาษีคาร์บอน

กลไกการปรับขอบเขตคาร์บอน (CBAM) ถือเป็นวิธีการปฏิวัติในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการกำหนดต้นทุนคาร์บอนสำหรับการนำเข้าสินค้า กลไกนี้สนับสนุนให้ผู้ผลิตทั่วโลกใช้วิธีการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทำให้การค้าระหว่างประเทศยั่งยืน

KEY

POINTS

  • กลไกการปรับขอบเขตคาร์บอน (CBAM) ถือเป็นวิธีการปฏิวัติในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • สนับสนุนให้ผู้ผลิตทั่วโลกใช้วิธีการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้การค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
  • CBAM เฟส 1 (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2023 กำลังจะหมดวาระ
  • การเรียกเก็บภาษีคาร์บอนอย่างเต็มรูปแบบ จะเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2026
  • ในปี 2025 นี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญ ที่ธุรกิจต่างๆ ควรดำเนินการเรื่องสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามีความพร้อม

หลังจากที่กลไกปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) เฟส 1 ได้เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embedded Emission) เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ คุ้นเคยกับกรอบการรายงานและการติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยไม่กำหนดภาระผูกพันทางการเงิน

โดยเน้นไปที่ธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อลูมิเนียม ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ก่อนจะขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ และมีการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026

ไทม์ไลน์ของ CBAM

  • 15 กรกฎาคม 2021 : คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอกฎระเบียบของรัฐสภายุโรปและสภายุโรปในการจัดตั้งกลไกการปรับขอบเขตคาร์บอน
  • 10 พฤษภาคม 2023 : รัฐสภายุโรปและสภายุโรปให้การรับรอง
  • 16 พฤษภาคม 2023 : เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาของสหภาพยุโรป
  • 17 สิงหาคม 2023 : คณะกรรมาธิการยุโรปนำกฎเกณฑ์การรายงานโดยละเอียดสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านของ CBAM มาใช้
  • 1 ตุลาคม 2023 : CBAM มีผลบังคับใช้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้าจะต้องรายงานจนถึงสิ้นปี 2025 เท่านั้น หลังจากนั้นจะมีการชำระเงินตามเกณฑ์
  • 31 มกราคม 2024 : สิ้นสุดช่วงระยะเวลาการรายงานครั้งแรกสำหรับผู้ค้า
  • 2025-2026 : พิจารณาว่าการรายงานการตรวจสอบการทำงานของ CBAM และการขยายขอบเขตไปยังผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ
  • 1 มกราคม 2026 : ระบบ CBAM ถาวรจะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ค่า ETS ฟรีสำหรับภาค CBAM จะค่อยๆ หมดไป

ดังนั้น ปี 2025 จึงถือเป็นช่วงสุดท้ายของการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบในปีหน้า ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรป (The European Commission : EC) กำลังปรับปรุงกรอบการรายงาน CBAM โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าส่งรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซจริงแทนการใช้ค่าเริ่มต้น ดังนั้น นอกจากที่ผู้นำเข้านอกจากจะต้องรายงาน Embedded Emission ตามข้อกำหนดแล้ว ยังต้องแสดงหลักฐานการจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน (CBAM Certificate) ด้วย

โดยราคาค่าธรรมเนียมจะอ้างอิงจากราคาเฉลี่ยรายสัปดาห์ของการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของสหภาพยุโรป (Weekly average auction price of EU ETS allowances)

ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะสหภาพยุโรป (EU) มีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอนอันเป็นผลมาจากโครงการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป ขณะเดียวกันก็สร้างแรงจูงใจให้พันธมิตรและประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ปี 2025 EC ปรับปรุงระบบเข้มงวด

คาดว่าคณะกรรมาธิการยุโรปจะมีการพัฒนาที่สำคัญหลายประการภายในปี 2025 ดังนี้

  • กรอบการรายงานไฟนอล : EC จะใช้เวลาตลอดปี 2025 ปรับปรุงกรอบการรายงาน CBAM ในช่วงนี้ผู้นำเข้าสินค้าควรเปลี่ยนไปรายงานข้อมูลการปล่อยมลพิษจริงทั้งหมดแทนค่าเริ่มต้น ข้อกำหนดนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของระบบการรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำและโปร่งใส
  • กลไกเข้มงวดยิ่งขึ้น : แม้ว่าจะยังไม่มีการคิดภาษีคาร์บอนในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ แต่ในปี 2025 อาจมีการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎที่เข้มงวดยิ่งขึ้น คณะกรรมาธิการยุโรปและหน่วยงานระดับชาติมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการตรวจสอบข้อมูลรายงาน เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจต่างๆ เตรียมพร้อมเพียงพอสำหรับการแสดงหลักฐานการจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน (CBAM Certificate) ในปี 2026
  • การปรับใช้แนวทางให้กว้างขึ้น : CBAM ในปี 2025 จะมีบทบาทสำคัญในการปรับนโยบายการค้าให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่กว้างขึ้นของสหภาพยุโรป โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสีเขียว และสนับสนุนให้พันธมิตรระหว่างประเทศนำมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนที่คล้ายคลึงกันมาใช้

ซึ่งประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ชิลี และไต้หวัน กำลังพิจารณาการนำ CBAM ไปใช้ สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอนและส่งเสริมการปฏิบัติทางอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนทั่วโลก

โค้งสุดท้ายภาคธุรกิจเตรียมตัว

เนื่องจากช่วงเปลี่ยนผ่านของ CBAM เข้าสู่ปีสุดท้าย ธุรกิจต่างๆ ควรเน้นที่การดำเนินการที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามีความพร้อม ในการรับมือ CBAM วันที่ 1 มกราคม 2026 ดังนี้

  • สร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน : ควรทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่แม่นยำ ทำการเจรจาข้อตกลงกับซัพพลายเออร์ใหม่หากจำเป็น เพื่อให้ครอบคลุมข้อกำหนดในการรายงาน
  • ลงทุนในการตรวจสอบ : จัดตั้งระบบสำหรับการติดตามและตรวจสอบข้อมูลการปล่อยมลพิษ จ้างผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรอง เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนด
  • จำลองสถานการณ์ทางการเงิน : สร้างแบบจำลองต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นของใบรับรอง CBAM โดยอิงจากข้อมูลการปล่อยมลพิษในปัจจุบัน ระบุโอกาสในการลดความเสี่ยงผ่านการปล่อยมลพิษที่น้อยลงหรือเทคโนโลยีที่สะอาดกว่า

การดำเนินการเหล่านี้ในปี 2025 ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่ยังช่วยให้ธุรกิจพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ CBAM ด้วยความมั่นใจ นี่เป็นโอกาสที่ธุรกิจจะได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขัน

 

 

อ้างอิง : Carbon Gap, Sustainable Market