ไทยสร้างประวัติศาสตร์ 'สมรสเท่าเทียม' หนุนสิทธิมนุษยชน ลดความเหลื่อมล้ำ

ไทยสร้างประวัติศาสตร์ 'สมรสเท่าเทียม' หนุนสิทธิมนุษยชน ลดความเหลื่อมล้ำ

ประเทศไทยได้ท้าทายบทบาทการสมรสแบบดั้งเดิมและส่งเสริมการยอมรับความเท่าเทียมทางเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียมช่วยทำลายกำแพงและขจัดอุปสรรค เสริมสร้างสังคมที่เท่าเทียมที่ทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศวิถีเช่นไร มีสิทธิและโอกาสเท่ากัน

KEY

POINTS

  • ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”
  • มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 23 มกราคม 2568
  • สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ความเท่าเทียมทางเพศ (SDG 5) และลดความเหลื่อมล้ำ (SDG)
  • มีส่วนสำคัญทำให้ผู้ที่แต่งงานเพศเดียวกันได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย เช่น การรับมรดก การรับบุตรบุญธรรม การตัดสินใจด้านการรักษาพยาบาล และสวัสดิการคู่สมรส
  • ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นที่ยอมรับใน 38 ประเทศ มีประชากรรวมประมาณ 1.5 พันล้านคน หรือประมาณ 20% ของประชากรโลก

ประเทศไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการอนุญาตให้คนเพศเดียวแต่งงานกันได้ตามกฎหมาย นับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำเช่นนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”

ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 23 มกราคม 2568 การตัดสินใจเช่นนี้ของไทยไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ (United Nations) หลายประการ ดังนี้

ความเท่าเทียมทางเพศ (SDG 5 : Gender Equality)

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 5 เน้นการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมสร้างศักยภาพให้กับสตรีและเด็กหญิงทุกคน นอกจากนั้น ความเท่าเทียมทางเพศมีความเชื่อมโยงกับสิทธิและการยอมรับการแต่งงานเพศเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่ SDG 5 มีบทบาทสำคัญในบริบทนี้

แกนหลักของความเท่าเทียมทางเพศคือการรับประกันว่าทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศใด มีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกัน การให้สิทธิ์การแต่งงานเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมายเป็นก้าวสำคัญในการขจัดการเลือกปฏิบัติตามเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนโดยพื้นฐาน ทุกคนสมควรมีสิทธิที่จะแต่งงานกับคนที่ตนรักและมีความสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับและคุ้มครองตามกฎหมาย มีสิทธิในการสร้างครอบครัว การรับมรดก และการเข้าถึงสวัสดิการคู่สมรส

ลดความเหลื่อมล้ำ (SDG 10 : Reduced Inequality)

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 10 มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำ มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการแต่งงานเพศเดียวกัน เนื่องจากบุคคล LGBTQ+ มักเผชิญกับความไม่เสมอภาคทางสังคม เศรษฐกิจ และกฎหมาย

การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นการรับประกันว่าคู่รักเพศเดียวกันทุกคู่มีสิทธิและการคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกัน ซึ่งหมายถึงการได้รับการยอมรับและคุ้มครองทางกฎหมายเช่นเดียวกับคู่สมรสต่างเพศ เช่น การรับมรดก การรับบุตรบุญธรรม การตัดสินใจด้านการรักษาพยาบาล และสวัสดิการคู่สมรส การคุ้มครองทางกฎหมายเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการลดความเหลื่อมล้ำและการรับประกันว่าทุกคู่จะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันตามกฎหมาย

ความไม่เสมอภาคมักเกิดจากการกีดกันและการเลือกปฏิบัติในสังคม บุคคล LGBTQ+ โดยเฉพาะผู้ที่แต่งงานเพศเดียวกัน มักเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน ดังนั้น SDG 10 เน้นลดการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมความหลากหลายในที่ทำงานด้วย คู่รักเพศเดียวกันจะสามารถเข้าถึงโอกาสการจ้างงานที่ดีขึ้น ค่าจ้างที่เป็นธรรม และความมั่นคงทางการเงิน

นอกจากนั้น การลดความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคู่รักเพศเดียวกัน การเลือกปฏิบัติและการกีดกันทางสังคมสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ลดลง การรับรองทางกฎหมายของการแต่งงานเพศเดียวกันช่วยให้บุคคล LGBTQ+ สามารถเข้าถึงบริการด้านการรักษาพยาบาลเท่าเทียมกันและไม่ถูกเลือกปฏิบัติตามเพศวิถี การนี้ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคู่รักเพศเดียวกัน

ความก้าวของไทยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่น ๆ การบรรลุ SDG 10 ส่งเสริมให้ประเทศอื่นๆ นำมาตรการคล้ายกันไปใช้

ประเทศที่มีนโยบายการแต่งงานเพศเดียวกัน

ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นที่ยอมรับถูกกฎหมายใน 38 ประเทศ โดยมีประชากรรวมประมาณ 1.5 พันล้านคน หรือประมาณ 20% ของประชากรโลก การสนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกันมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่น ในสวีเดน คน 92% สนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกัน ขณะที่ในไนจีเรีย มีเพียง 2% เท่านั้นที่สนับสนุน

สำหรับในสหรัฐอเมริกา คน 63% สนับสนุน และ 34% คัดค้าน ซึ่งการแต่งงานเพศเดียวกันถูกกฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2015 ภายใต้คำตัดสินของศาลสูงสุดในคดี Obergefell v. Hodges การตัดสินใจนี้บังคับให้ทุกรัฐต้องยอมรับและออกใบทะเบียนสมรสให้กับคู่รักเพศเดียวกัน

หลายประเทศยอมรับการแต่งงานเพศเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน ได้แก่

  • เนเธอร์แลนด์ (เริ่มปี 2001)
  • เบลเยียม (เริ่มปี 2003)
  • แคนาดา (เริ่มปี 2005)
  • สเปน (เริ่มปี 2005)
  • แอฟริกาใต้ (เริ่มปี 2006)
  • นอร์เวย์ (เริ่มปี 2009)
  • สวีเดน (เริ่มปี 2009)
  • เม็กซิโก (เริ่มปี 2010)
  • โปรตุเกส (เริ่มปี 2010)
  • ไอซ์แลนด์ (เริ่มปี 2010)
  • อาร์เจนตินา (เริ่มปี 2010)
  • บราซิล (เริ่มปี 2011)
  • เดนมาร์ก (เริ่มปี 2012)
  • ฝรั่งเศส (เริ่มปี 2013)
  • อุรุกวัย (เริ่มปี 2013)
  • นิวซีแลนด์ (เริ่มปี 2013)
  • สหราชอาณาจักร (เริ่มปี 2014)
  • ลักเซมเบิร์ก (เริ่มปี 2015)
  • ไอร์แลนด์ (เริ่มปี 2015)
  • โคลอมเบีย (เริ่มปี 2016)
  • ฟินแลนด์ (เริ่มปี 2017)
  • มอลตา (เริ่มปี 2017)
  • เยอรมนี (เริ่มปี 2017)
  • ออสเตรเลีย (เริ่มปี 2017)
  • ออสเตรีย (เริ่มปี 2019)
  • ไต้หวัน (เริ่มปี 2019)
  • เอกวาดอร์ (เริ่มปี 2019)
  • คอสตาริกา (เริ่มปี 2020)
  • ชิลี (เริ่มปี 2022)
  • สวิตเซอร์แลนด์ (เริ่มปี 2022)
  • สโลวีเนีย (เริ่มปี 2022)
  • คิวบา (เริ่มปี 2022)
  • อันดอร์รา (เริ่มปี 2023)
  • เอสโตเนีย (เริ่มปี 2024)
  • กรีซ (เริ่มปี 2024)
  • ลิกเตนสไตน์ (เริ่มปี 2025)
  • ประเทศไทย (เริ่มปี 2025)

 

 

 

อ้างอิง : United NationsWorld Population Review, Brilliant Maps