‘กรีนแลนด์’ น้ำแข็งละลาย เผยให้เห็น ‘แร่ธาตุ’ จำนวนมากใต้หิมะ ‘ทรัมป์’ หวังเคลม

น้ำแข็งใน “กรีนแลนด์” กำลังละลายอย่างรวดเร็วจาก “วิกฤติสภาพภูมิอากาศ” ทำให้สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไป แต่อาจจะเป็นผลดีสำหรับบริษัทขุดเจาะแร่ ที่อาจพบแร่ธรรมชาติจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้น้ำแข็ง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” อยากได้กรีนแลนด์

การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ของสหราชอาณาจักร เผยให้เห็นว่า “กรีนแลนด์” เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดินแดนที่ปลุกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง กำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ “ภาวะโลกร้อน” ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์

แผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์บางส่วนถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่พุ่มไม้ และหินจำนวนมาก อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากหิมะและน้ำแข็งละลายมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นและระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน การละลายของน้ำแข็งในกรีนแลนด์กลับเป็นผลดีสำหรับบริษัทขุดเจาะแร่ธาตุ โรเดอริก แมคอิลรี กรรมการบริหารของบริษัทเหมืองแร่ 80 Mile ที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร กล่าวกับ CNBC ว่า “เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากน้ำรอบ ๆ กรีนแลนด์เปิดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และปิดตัวลงช้าลงเรื่อยๆ ทุกปี สามารถเข้าถึงสถานที่ห่างไกลได้ง่ายกว่าเมื่อ 20, 30, 40 หรือ 70 ปีก่อนมาก”

แมคอิลรี กล่าวเสริมว่า ในแต่ละปีมีน้ำแข็งใหม่บริเวณละติจูดทางเหนือสุดมีเวลาก่อตัวเพียงแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น และส่วนอื่น ๆ ของกรีนแลนด์กำลังละลาย ทำให้พบหินและแร่ธาตุที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งมากขึ้น

กรีนแลนด์มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆกรีนแลนด์มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 
เครดิตภาพ: Ritzau Scanpix/Ida Marie Odgaard via REUTERS

ปัจจุบัน 80 Mile มีโครงการที่กำลังพัฒนาในกรีนแลนด์ 3 โครงการ รวมถึงสัมปทานน้ำมันขนาดใหญ่บนชายฝั่งตะวันออกของเกาะ โครงการไทเทเนียมใกล้กับฐานทัพอวกาศของสหรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือ และโครงการ Disko-Nuussuaq ทางตะวันตกเฉียงใต้

ทั้งนี้ แมคอิลรีเน้นย้ำถึงศักยภาพเชิงกลยุทธ์ของเกาะในฐานะศูนย์กลางการขุดที่สำคัญระดับโลก โดยกล่าวว่าโครงการ Disko ของบริษัทอาจเป็นการค้นพบนิกเกิลและทองแดงมากที่สุดครั้งหนึ่งในโลก

โทนี เซจ ซีอีโอของ Critical Metals Corporation ซึ่งกำลังพัฒนาสินทรัพย์โลหะหายากที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในกรีนแลนด์ กล่าวว่าการละลายของน้ำแข็งของกรีนแลนด์ส่งผลดีต่อบริษัทเหมืองแร่อย่างมากในแง่ของการขนส่ง บริษัทสามารถนำเรือขนาดใหญ่เข้ามาจากมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือได้โดยตรง 

“ตอนนี้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นแล้ว หากคุณในไซบีเรียของรัสเซีย จะพบว่าที่นั่นมีชั้นดินเยือกแข็งและน้ำแข็งจำนวนมาก และรัสเซียยังสามารถขุดแร่ธาตุได้มากมาย รวมถึงน้ำมันและก๊าซด้วย ดังนั้นบริษัทต่าง ๆ จะแห่กันมาขุดแร่ธาตุในกรีนแลนด์” เซจกล่าวกับ CNBC

อย่างไรก็ตาม กรีนแลนด์ยังคงมีปัญหารอบด้านสำหรับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เลวร้าย ประชากรจำนวนน้อย ที่สำคัญคือขาดโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นอุปสรรคที่บริษัทเหมืองแร่ต้องเอาชนะให้ได้ 

“เดนมาร์กไม่เคยสร้างทางรถไฟ ไม่สร้างถนนที่กรีนแลนด์เลย เมื่อคุณอยู่นอกเมืองเล็กๆ เหล่านี้แล้ว ก็ไม่มีถนน ดังนั้นหากคุณต้องการเดินทางระหว่างเมือง คุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นเฮลิคอปเตอร์อย่างเดียว นั่นคือปัญหาหลักหลังที่คุณเจอแร่ธาตุแล้ว” เซจกล่าว

กรีนแลนด์ขาวโพลน ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน

กรีนแลนด์ขาวโพลน ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน
เครดิตภาพ: Ritzau Scanpix/Thomas Traasdahl via REUTERS

จาค็อบ โคลฟ คีดิง ที่ปรึกษาอาวุโสของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาของเดนมาร์กและกรีนแลนด์ (GEUS) กล่าวว่าการสำรวจศักยภาพทรัพยากรของกรีนแลนด์ในปี 2023 ได้ประเมินแร่ธาตุทั้งหมด 38 รายการบนเกาะ โดยส่วนใหญ่มีศักยภาพค่อนข้างสูงหรือปานกลาง

แร่ธาตุเหล่านี้รวมถึงโลหะหายากอย่างกราไฟต์ ไนโอเบียม โลหะกลุ่มแพลตตินัม โมลิบดีนัม แทนทาลัม และไททาเนียม กรีนแลนด์ยังเป็นที่รู้จักว่ามีแหล่งลิเธียม แฮฟเนียม ยูเรเนียม และทองคำจำนวนมาก

แร่ธาตุเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน สามารถนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน และการใช้งานด้านความมั่นคงแห่งชาติ หากขาดแร่ธาตุเหล่านี้อาจทำให้ซัพพลายเชนหยุดชะงักได้ 

คีดิงระบุว่า กรีนแลนด์มีศักยภาพมหาศาล แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการทำเหมืองมากนัก พร้อมกล่าวว่า “กรีนแลนด์อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจแหล่งแร่หลายแห่ง เราไม่มีข้อมูลมากนัก แต่รู้ว่าบางแหล่งเป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ และบางแหล่งเราก็รู้แล้วว่ามีแร่ประมาณเท่าใด”

ทั้งนี้ คีดิงยังกล่าวเสริมอีกว่า แม้น้ำแข็งที่ละลายในกรีนแลนด์อาจช่วยขจัดอุปสรรคด้านการขนส่งบางส่วนได้ แต่ในแง่ของการสกัดแร่อาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะทำได้สำเร็จ

กรีนแลนด์เคยประกาศตัวเองว่าเป็นทางเลือกของชาติตะวันตกมาช้านาน แทนที่จีนที่แทบจะผูกขาดธาตุหายากมาช้านาน แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ทำให้ดินแดนแห่งนี้อยู่นอกสายตามาโดยตลอด แต่กรีนแลนด์กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงความต้องการจะผนวกดินแดนนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ โดยอธิบายว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ

ขณะที่ มิวเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีของกรีนแลนด์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เกาะแห่งนี้เปิดกว้างสำหรับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐ โดยเฉพาะในด้านต่าง ๆ เช่น การทำเหมืองแร่ และยืนกรานว่าจะ “ไม่ขาย” กรีนแลนด์ และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเคารพความปรารถนาของเกาะแห่งนี้ในการแยกตัวเป็นเอกราช

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แนวคิดในการซื้อกรีนแลนด์ทำให้เกิดคำถามที่ซับซ้อน กรีนแลนด์เป็นดินแดนปกครองตนเองภายในราชอาณาจักรเดนมาร์ก ในขณะที่เดนมาร์กยังคงควบคุมกิจการต่างประเทศและการป้องกันประเทศ รัฐบาลของกรีนแลนด์จะจัดการกิจการภายในและมีสิทธิที่จะแสวงหาเอกราชอย่างสมบูรณ์ผ่านการลงประชามติ

การซื้อกรีนแลนด์จะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งเดนมาร์กและรัฐบาลของกรีนแลนด์ การทำธุรกรรมดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งยึดมั่นในหลักการแห่งการกำหนดชะตากรรมของตนเอง ประชากรของกรีนแลนด์ซึ่งมีอยู่ประมาณ 56,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินูอิตพื้นเมือง จำเป็นต้องได้รับการปรึกษาหารือ เพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิและผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับการคุ้มครอง

 

ที่มา: CNBC, Newsweek, Reuters, South China Morning Post

ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในกรีนแลนด์ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในกรีนแลนด์
เครดิตภาพ: REUTERS/Hannibal Hanschke