นักธุรกิจ-ผู้นำแห่นั่งเจ็ตไป ‘ดาวอส’ แม้ WEF จัดรถไฟฟรีส่งถึงที่ อ้างเสียเวลา

แม้ว่า WEF และเอ็นจีโอทั่วโลกจะเรียกร้องให้บรรดาผู้เข้าประชุมที่ “ดาวอส” เดินทางมาประชุมด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สนใจ เพราะจำนวนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การประชุมประจำปีของ “สภาเศรษฐกิจโลก” หรือ WEF (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส เปิดฉากเป็นที่เรียบร้อย ผู้นำระดับโลก ซีอีโอ และผู้นำธุรกิจต่างเดินทางมายังสวิตเซอร์แลนด์เป็นจำนวนหลายร้อยคน โดยผู้จัดงานได้เตรียมขบวนรถไฟฟรีและจัดหาที่กันลื่นรองเท้า เพื่อสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมเดินแทนที่จะขับรถในบริเวณพื้นที่การประชุม
ถึงจะอำนวยความสะดวกมากขนาดนี้ แต่ก็ได้ผลไม่มาก เพราะข้อมูลจาก Flightradar24 เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน พบว่ามี “เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว” รอบ ๆ สนามบินเมืองดาวอส เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสองสามวันก่อนการประชุม
สนามบินซูริก ซึ่งเป็นสนามบินขนาดใหญ่ที่ใกล้กับเมืองดาวอสที่สุด มีเครื่องบินส่วนตัว 54 ลำลงจอดเมื่อวันที่ 20 มกราคม เพิ่มขึ้น 170% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยโฆษกของสนามบินซูริกกล่าวว่า “ก่อนและระหว่างการประชุม WEF เราพบเที่ยวบินเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 เที่ยวบิน อาจเป็นเครื่องบินธุรกิจ เครื่องบินของรัฐ หรือเฮลิคอปเตอร์”
ส่วนสนามบินอื่น ๆ ที่ผู้ร่วมเข้าประชุมดาวอสแวะเวียนมาใช้บริการ ได้แก่ เซนต์มอริตซ์ ฟรีดริชส์ฮาเฟน และเซนต์กัลเลน-อัลเทิร์นไฮม์ มีเที่ยวบินส่วนตัวมากกว่าปรกติเช่นกัน โดยฟรีดริชส์ฮาเฟนมีเที่ยวบินมากกว่าค่าเฉลี่ย 33%
สำหรับเที่ยวบินส่วนตัวที่มีระยะทางบินมากที่สุดที่มาจอดที่สนามบินซูริก มาถึงในช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มกราคม ซึ่งบินตรงมาจากฮาวาย ด้วยเครื่องบินบอมบาร์เดียร์ โกลบอล 7500 มูลค่า 72 ล้านยูโร ดำเนินการโดยบริษัทเช่าเหมาลำ NetJets ใช้เวลาบิน 14 ชั่วโมง 40 นาที ด้วยระยะทาง 12,404 กม. แต่ก็มีอีกหลายเที่ยวบินที่มีระยะทางน้อยกว่า 500 กม. หนึ่งในเที่ยวบินที่สั้นที่สุดมีระยะเพียง 204 กม. จากมิลาน
ขณะที่ เจ้าหน้าที่บางคนใช้เครื่องบินของรัฐบาล ทำให้ระบุได้ง่ายขึ้นว่ามาจากที่ใด เช่น ตัวแทนของรัฐบาลลิเบียเดินทางถึงสวิตเซอร์แลนด์ด้วยเครื่องบิน Embraer Legacy 600 หมายเลข 5A-LBY รัฐบาลอิรักและรัฐบาลโปแลนด์ต่างเลือกเครื่องบินโบอิ้ง 737 ลำใหญ่เพื่อบินไปยังสวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่าเครื่องบินเหล่านี้จะสามารถบรรทุกผู้โดยสารมากกว่า 160 คน แต่เที่ยวบินที่มาดาวอสกลับมีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมบางคนก็มาด้วยเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว และลงจอดในลานจอดเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว ซึ่งยิ่งทำให้การปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอีก ทำให้นักเคลื่อนไหวของกรีนพีซปิดกั้นทางเข้าลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ทะเลสาบดาวอส โดยเรียกร้องให้เก็บภาษีความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีระดับโลกอย่างยุติธรรม
“การเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปยังดาวอสเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้ว่า WEF จะพยายามมากขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมเลือกวิธีการเดินทางที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นก็ตาม นั่นหมายความว่า WEF จำเป็นต้องยึดความคิดริเริ่มนี้ในขณะที่ผู้นำอยู่ในห้องประชุม” เดนิส อัคแลร์ หัวหน้าโครงการ Travel Smart Campaign ขององค์กรไม่แสวงหากำไรด้านการคมนาคมและสิ่งแวดล้อมกล่าว
พร้อมเสนอว่า ควรนำประเด็นการเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัวและการเดินทางที่ยั่งยืนเข้าเป็นวาระการประชุม โดย WEF จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า WEF สามารถแก้ไขปัญหามลพิษจากการเดินทางมาดาวอสได้
ผู้บริหารระดับสูงและนักการเมืองระดับโลกมักให้เหตุผลว่า การนั่งรถไฟทำให้พวกเขาเสียเวลาอันมีค่าไป การนั่งเครื่องบินส่วนตัวจึงช่วยประหยัดเวลาได้มากกว่า และทำให้มีเวลาทำงานมากขึ้น ซึ่งฟังดูเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักสำหรับตัวแทนที่มาจากประเทศไกล ๆ เช่นฮาวายและสหรัฐ แต่หากนั่งเครื่องบินพาณิชย์จากสหรัฐไปดาวอส ก็จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ถึง 87% ตามข้อมูลของ Transport and Environment
อย่างไรก็ตาม เหตุผลเรื่องเวลาและการทำงาน ใช้ไม่ได้กับการเดินทางระยะสั้น เพราะมันไม่ได้เสียเวลามากขนานนั้น ตัวอย่างเช่น เครื่องบินส่วนตัวจากมิลานไปดาวอสใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งรถไฟใช้เวลา 3 ชั่วโมง 12 นาที ทั้งนี้ในรถไฟมีโต๊ะสำหรับประชุม และมีไวไฟให้ทำงานระหว่างทางได้เช่นกัน
หน่วยงานด้านการขนส่งและสิ่งแวดล้อมได้ติดต่อบริษัทต่าง ๆ ประมาณ 100 แห่งที่นิยมเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว เพื่อขอให้บริษัทเหล่านี้ตกลงที่จะหลีกเลี่ยงการบินส่วนตัวไปยังเมืองดาวอส และถ้าเป็นไปได้อยากให้บริษัทเหล่านี้ใช้การเดินทางโดยรถไฟ หรือส่งตัวแทนที่อยู่ในยุโรปเข้าร่วมประชุมแทน
มีเพียงสองบริษัทที่ตอบรับด้วยคำมั่นสัญญา คือ ซีอีโอของ Saint-Gobain บริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างของฝรั่งเศสจะเดินทางโดยรถไฟไปยังเมืองดาวอส ส่วน KPMG หนึ่งในกลุ่มบริษัทบัญชีบิ๊กโฟร์ กล่าวว่าตัวแทนของพวกเขาจะใช้เที่ยวบินเชิงพาณิชย์และรถไฟเพื่อเดินทางไปที่นั่น
เอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมหลายแห่งเรียกร้องให้ผลักดันการเดินทางอย่างยั่งยืนสำหรับการประชุมดาวอส 2025 โดยจดหมายเปิดผนึกระบุว่า “การใช้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เท่าเทียมกันของทรัพยากรทั่วโลกและความพยายามในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามต่อโลก เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของบริษัทใดก็ตามที่เดินทางไปยังดาวอสแสดงให้เห็นว่าพวกเขาขาดความรับผิดชอบในการช่วยลดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส”
ขณะที่ อัคแลร์ตั้งคำถามว่า “ผู้บริหารเหล่านี้ต้องการให้บริษัทมีชื่อเสียงไปในทางไม่ดี ว่าเป็นพวกไม่รักษ์โลก ไม่เท่าเทียม และฟุ่มเฟือยจริง ๆ หรือ พวกเขาควรคว้าโอกาสในการเดินทางไปดาวอส เพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถเดินทางอย่างยั่งยืนได้”
เครื่องบินส่วนตัวถือเป็นยานพาหนะที่ก่อมลพิษมากที่สุดต่อกิโลเมตรต่อผู้โดยสาร แม้จะมีการรณรงค์ให้ลดใช้เครื่องบินเจ็ท แต่มหาวิทยาลัยลินเนียสของสวีเดนพบว่าการปล่อยมลพิษจากเครื่องบินส่วนตัวเพิ่มขึ้น 46% ระหว่างปี 2019-2023
“มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้เครื่องบินเหล่านี้เป็นแท็กซี่ และใช้เครื่องบินเพียงเพราะว่ามันสะดวกกว่า ไม่ว่าใครก็ตามเลือกที่จะใช้เครื่องบินส่วนตัวและปล่อยคาร์บอนออกมาในปริมาณที่เท่ากับมนุษย์ทั่วไปปล่อยในหนึ่งปี เพียงเพื่อไปดูฟุตบอล นั่นแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นในโลก” ศ.สเตฟาน กอสลิง จากมหาวิทยาลัยลินเนียสกล่าว
ในปี 2023 เครื่องบินส่วนตัวปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา 15.6 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นระยะทางเกือบ 40,000 ล้านไมล์ แม้ว่าจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้โลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่การที่คนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ปล่อยก๊าซนี้ออกมาก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ
ที่มา: Euronews, Euractiv, The Irish Times