ชวนสำรวจ ‘พ.ร.บ. อากาศสะอาด’ ในต่างประเทศ มีการจัดการมลพิษอย่างไร

ชวนสำรวจ ‘พ.ร.บ. อากาศสะอาด’ ในต่างประเทศ มีการจัดการมลพิษอย่างไร

พระราชบัญญัติอากาศสะอาด (Clean Air Act) มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พระราชบัญญัติอากาศสะอาด (Clean Air Act) มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนควบคุมมลพิษทางอากาศและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อจัดการกับปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบจากการใช้พลังงานฟอสซิล ตัวอย่างของกฎหมายที่คล้ายกับ "พระราชบัญญัติอากาศสะอาด" ที่มีอยู่ในหลายประเทศ 

1. Clean Air Act (สหรัฐอเมริกา)

  • กฎหมาย Clean Air Act (2506) ถูกบังคับใช้โดยหน่วยงาน Environmental Protection Agency (EPA)
  • เน้นการควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดต่างๆ เช่น ยานพาหนะ โรงงาน และอุตสาหกรรม
  • มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ (National Ambient Air Quality Standards หรือ NAAQS) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
  • ช่วยลดมลพิษจากก๊าซเรือนกระจกและมลพิษที่เป็นอันตราย เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์  และไนโตรเจนออกไซด์ 

การดำเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้สามารถช่วยลดมลพิษทางอากาศในหลายพื้นที่ และช่วยให้สภาพอากาศในบางเมืองดีขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณภาพอากาศในบางเมืองของสหรัฐฯ เช่น ลอสแอนเจลิส ได้รับการปรับปรุงหลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายนี้อย่างไรก็ตาม มีข้อวิจารณ์ว่าการปฏิบัติตามกฎหมายนี้อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานสำหรับธุรกิจบางประเภท

2. European Union Air Quality Standards (สหภาพยุโรป)

  • Directive on Ambient Air Quality and Cleaner Air for Europe กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศสำหรับประเทศสมาชิก
  • เน้นการลดการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรม การคมนาคม และการผลิตพลังงาน
  • มีกลไกบังคับใช้ร่วม เช่น การตั้งค่าปรับสำหรับประเทศหรือบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน

สหภาพยุโรปมีมาตรฐานคุณภาพอากาศที่เข้มงวด เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติอากาศสะอาดในบางประเทศ สมาชิกของสหภาพยุโรปต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ

ซึ่งรวมถึงการจำกัดปริมาณสารพิษที่ปล่อยออกมาจากยานพาหนะและอุตสาหกรรม การปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองต่างๆ เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป เช่น เยอรมนีและสวีเดน มีคุณภาพอากาศดีขึ้นจากการควบคุมมลพิษและส่งเสริมพลังงานสะอาด

3. Air Pollution Control Law (จีน)

ประเทศจีนซึ่งเคยเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศอย่างหนักในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้ออกกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศเพื่อจัดการกับปัญหานี้ กฎหมายการควบคุมมลพิษทางอากาศของจีน (Air Pollution Control Law) ถูกปรับปรุงในปี 2558 เพื่อเสริมสร้างมาตรการควบคุมและป้องกันการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

  • เน้นการลดมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ยานพาหนะ และโรงงานอุตสาหกรรม
  • มีการติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน

ทำให้จีนลดระดับมลพิษในหลายเมืองได้ แต่ยังมีความท้าทายในการควบคุมมลพิษในพื้นที่ชนบทและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

4. National Clean Air Programme (อินเดีย) 

  • เน้นการลดมลพิษในเมืองใหญ่ เช่น นิวเดลี ซึ่งมีปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 และ PM10 รุนแรง
  • ตั้งเป้าหมายลดมลพิษในเมืองใหญ่ลง 20-30% ภายในปี 2567

ถึงแม้จะมีการพยายาม แต่ยังคงเผชิญปัญหามลพิษหนักจากการเผาไหม้ขยะและการจราจรหนาแน่น

ความท้าทายและการใช้กฎหมายจริง

แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายดังกล่าวในหลายประเทศ แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทายบางประการ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. การบังคับใช้กฎหมาย ในบางประเทศ แม้จะมีกฎหมายที่เข้มงวด แต่การบังคับใช้อาจไม่รัดกุมพอ ทำให้ยังคงมีการละเมิดข้อกำหนด
  2. ค่าใช้จ่าย การเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและการควบคุมมลพิษอาจมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งบางประเทศหรือบางภาคธุรกิจอาจมีข้อจำกัดในการลงทุน
  3. การประสานงานระหว่างรัฐบาลและธุรกิจ การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการควบคุมมลพิษและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนยังคงเป็นปัญหาที่ต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย

แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสะอาด แต่การบังคับใช้และผลลัพธ์ที่ได้ยังขึ้นอยู่กับความจริงจังในการดำเนินงานและความร่วมมือจากหลายฝ่าย

ที่มา : sdgmove