ปรับ ‘นาฬิกาวันสิ้นโลก’ เหลือ 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน โลกใกล้สู่จุดหายนะเต็มที

นักวิทยาศาสตร์ปรับนาฬิกาเป็น 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน เนื่องจากความเสี่ยงจากนิวเคลียร์ ปัญญาประดิษฐ์ และวิกฤติสภาพอากาศ
KEY
POINTS
- “นาฬิกาวันสิ้นโลก” หรือ Doomsday Clock ให้เร็วกว่าปีก่อน 1 วินาที เหลือระยะเวลาเพียง 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน เนื่องจากโลกมีความเสี่ย
องค์การจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์ด้านปรมาณู (Bulletin of the Atomic Scientists) ได้ปรับ “นาฬิกาวันสิ้นโลก” หรือ Doomsday Clock ให้เร็วกว่าปีก่อน 1 วินาที เหลือระยะเวลาเพียง 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน เนื่องจากโลกมีความเสี่ยงจากภัยคุกคามหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนิวเคลียร์ของรัสเซียที่อาจใช้บุกยูเครน รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ตลอดจนการใช้เอไอทางทหาร และวิกฤติสภาพอากาศที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติระดับโลก
นาฬิกาวันสิ้นโลก สร้างขึ้นเมื่อปี 1947 ในช่วงที่สงครามเย็นกำลังตึงเครียด เพื่อเตือนสาธารณชนว่ามนุษยชาติกำลังเข้าใกล้การทำลายล้างโลกมากเพียงใด โดยใช้เวลาเที่ยงคืนเป็นตัวแทนจุดล่มสลายของโลก เริ่มแรกได้ปรับไว้ที่ 7 นาทีก่อนเที่ยงคืน หรือ 23:53 น. ตลอดช่วง 78 ปีที่ผ่านมา เวลาของนาฬิกาได้เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่อาจทำลายล้างโลก ในบางปีเวลาก็เปลี่ยนไป และในบางปีก็ไม่เปลี่ยนไป
แดเนียล โฮลซ์ ประธานคณะกรรมการองค์การจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์ด้านปรมาณู กล่าวว่า “เราตั้งนาฬิกาให้ใกล้เที่ยงคืนมากขึ้น เพราะเราไม่เห็นความคืบหน้าในการแก้ปัญหาระดับโลกที่เราเผชิญอยู่ รวมถึงความเสี่ยงจากนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามทางชีวภาพ และความก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ก่อกวน”
“การตั้งนาฬิกาวันสิ้นโลกไว้ที่ 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืนเป็นการเตือนผู้นำโลกทุกคน” โฮลซ์ กล่าวเสริม
เครดิตภาพ: REUTERS/Kevin Lamarque
การรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 ได้จุดชนวนความขัดแย้งที่อันตรายที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2
“สงครามในยูเครนยังคงเป็นแหล่งที่มาของความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ที่สำคัญ ความขัดแย้งดังกล่าวอาจทวีความรุนแรงจนรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ได้ทุกเมื่อจากการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นหรือจากอุบัติเหตุ และการคำนวณผิดพลาด” โฮลซ์ กล่าว
ในเดือนพฤศจิกายน 2024 วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ปรับเกณฑ์การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐ และประเทศพันธมิตรที่หนุนหลังยูเครน ว่ารัสเซียพร้อมใช้นิวเคลียร์ตอบโต้
ขณะที่ ตะวันออกกลางเป็นอีกภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยมีสงครามอิสราเอล-กาซาเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง รวมถึงอิหร่านที่มีอาวุธนิวเคลียร์
ส่วนจีน เพิ่มแรงกดดันทางทหารใกล้ไต้หวัน ด้วยการส่งเรือรบ และเครื่องบินเข้าไปในน่านน้ำ และน่านฟ้ารอบๆ เกาะไต้หวัน ที่จีนมองว่าเป็นดินแดนของตน ด้านเกาหลีเหนือก็ยังคงทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลหลายลูก
“ประเทศต่างๆ ที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์กำลังขยายขนาดและบทบาทของคลังอาวุธของตน โดยลงทุนเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ในอาวุธที่สามารถทำลายอารยธรรมได้หลายต่อหลายครั้ง” โฮลซ์ กล่าวเสริม
นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีชีวภาพ และในอวกาศ ยังแซงหน้ากฎระเบียบในพื้นที่เหล่านั้นไปไกลมาก ซึ่งอันตรายทั้งหมดนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากภัยคุกคามทวีคูณ เมื่อเกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดพลาด ข้อมูลบิดเบือน และทฤษฎีสมคบคิดที่ทำลายระบบนิเวศการสื่อสาร และทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความเท็จเลือนรางลงเรื่อยๆ
“เรากำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในแต่ละภูมิภาคอย่างใกล้ชิด จุดเหล่านี้อาจกลายเป็นสงครามตัวแทน ซึ่งอาจมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์และก่อให้เกิดผลลัพธ์เลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึง” โฮลซ์ กล่าว
นักวิทยาศาสตร์จากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปีที่แล้วเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ และ 10 ปีที่ผ่านมาเป็น 10 ปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านาฬิกาจะไม่สามารถวัดภัยคุกคามได้ แต่หากมันจุดประกายการสนทนา และกระตุ้นให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในหัวข้อทางวิทยาศาสตร์ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เรเชล บรอนสัน ประธาน และซีอีโอขององค์การจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์ด้านปรมาณู ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเมื่อนาฬิกาตั้งเวลาใหม่ ผู้คนก็จะรับฟัง และตระหนักถึงหายนะที่มนุษย์กำลังเผชิญ
ที่มา: AP News, CNN, The Guardian
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์