พบ ‘หนูผี’ หายากที่คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว หลังจากไม่เจอตัวเป็น ๆ ร่วมร้อยปี

พบ ‘หนูผี’ หายากในรอบ 100 ปี ตัวเล็กจิ๋ว หนักเท่าคลิปหนีบกระดาษ เร่งหาทางอนุรักษ์ ก่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำลายที่อยู่อาศัย
KEY
POINTS
- พบ “หนูผีเขาไลเอลล์” (Mount Ly
“หนูผีเขาไลเอลล์” (Mount Lyell shrew) สัตว์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนักแค่ไม่กี่กรัม นักชีววิทยารู้ว่ามันอาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตีมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1900 แต่ยังไม่มีใครถ่ายรูปมันได้เลยสักครั้ง จนกระทั่งปี 2024
ทีมนักวิจัยสังกัดสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนียเพิ่งประกาศว่า พวกเขาถ่ายภาพหนูลึกลับนี้ได้เป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี หลังจากใช้เวลา 3 คืนเดินป่าบริเวณเทือกเขาเซียร์ราฝั่งตะวันออก
“เราได้ทำการวิจัยและพบว่า เราเจอสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กที่ไม่มีใครเคยถ่ายภาพได้มาก่อน ที่ผ่านมาหนูผีเขาไลเอลล์ถูกจับได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น” วิชาล สุบรามันยัน นักศึกษาวัย 22 ปีจากภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม นโยบาย และการจัดการ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ผู้เดินทางไปที่ภูเขาแห่งนี้กล่าว
สุบรามันยันร่วมเดินทางไปกับฮาร์เปอร์ ฟอร์บส์ และ ปรากฤต เจน จากภาควิชาชีววิทยาบูรณาการของมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ เพื่อทำการศึกษาสำหรับรายวิชาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยปกติแล้วสุบรามันยันจะเน้นไปที่สัตว์นักล่าขนาดใหญ่ เช่น สิงโตภูเขา ในขณะที่เจน ศึกษาเกี่ยวกับแมงมุมเป็นหลัก แต่ความลึกลับของเจ้าหนูผีตัวก็ทำให้พวกเขาจะปล่อยผ่านไปได้
เพื่อเติมเต็มส่วนที่หายไปของความหลากหลายทางชีวภาพในแคลิฟอร์เนีย ทั้งคู่ได้ปรึกษาหารือกับนักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์สัตววิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และก็ได้พบความจริงว่า เกือบ 20 ปีแล้วที่ไม่มีใครเห็นเจ้าหนูผีชนิดนี้เลย จนเกิดคำถามว่าเคยมีใครพบมันตัวเป็น ๆ หรือเปล่า เพราะมีข้อมูลน้อยมาก
แม้ว่า หนูผีเขาไลเอลล์จะไม่ได้จัดอยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของรัฐบาลกลาง แต่รัฐแคลิฟอร์เนียก็จัดให้หนูชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงมากที่สุดที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนอาจสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยไปถึง 90% เมื่อโลกอุ่นขึ้น อีกทั้งยังไม่มีใครเคยทำการวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ มีเพียงแต่ซากสัตว์ที่เคยรวบรวมได้เท่านั้น
หนูผีเขาไลเอลล์ มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเซียร์ราเนวาดาตะวันออก ที่หนาวเย็นและสูง มีเอกลักษณ์ที่จมูกยาวช่วยขุดรู ทำให้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน พวกมันมักจะถูกเข้าใจว่าเป็นหนู แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่สัตว์ฟันแทะ น้องคล้ายกับเม่นฮาล์ฟพินต์หรือตุ่นจิ๋วมากกว่า สัตว์ชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักสัตววิทยาชื่อคลินตัน ฮาร์ต เมอร์เรียม ชาวนิวยอร์กซิตี้ผู้ได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม”
เพื่อถ่ายภาพหนูผีสุดลึกลับนี้ ทั้งสองคนจะต้องวางกับดักเพื่อจับหนูให้ได้ โดยไม่ได้รับอันตรายและยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะหนูผีมีอัตราการเผาผลาญสูงมาก จนตายได้ในไม่กี่ชั่วโมง หากไม่มีอาหารตกถึงท้อง หมายความว่าพวกมันไม่สามารถอยู่รอดได้นานในกับดัก นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไม่เคยมีการถ่ายภาพหรือศึกษาสัตว์สายพันธุ์นี้แบบที่ยังมีชีวิตอยู่เลย
“พวกมันต้องการอาหารอย่างต่อเนื่อง ถ้าพวกมันไม่ได้อาหารที่เพียงพอ หรือถ้าฝนตกจนพวกมันเปียกน้ำ พวกมันก็อาจตายได้อย่างรวดเร็ว” เขากล่าว
สุบรามันยันและเจนจึงช่วยกันขุดหลุมเล็ก ๆ ประมาณ 150 หลุม เพื่อทำเป็นหลุมกับดัก พร้อมวางถ้วยที่มีขอบเรียบซึ่งใส่หนอนแป้งหรืออาหารแมวในแต่ละหลุม โดยไม่ต้องปิดหลุม เพราะหลุมลึกพอที่หนูจะปีนออกมาไม่ได้ และต้องคอยมาดูที่หลุมทุก ๆ 2 ชั่วโมง
ทั้งสองคนต้องรอถึง 3 วันกว่าที่จะหนูผีเขาไลเอลล์จะติดกับ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าความรอคอย เพราะมีหนูผีทั้งหมด 18 ตัว และมีอย่างน้อย 6 ตัวเป็นหนูผีเขาไลเอลล์ (บางตัวหนีไปก่อนที่จะถ่ายรูปได้)
การแยกแยะสายพันธุ์ของหนูผีจะต้องเปรียบเทียบขนาดฟัน ดังนั้นเจนจึงถ่ายภาพหนูที่จับได้ในระยะมาโคร พร้อมเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของทุกตัวก่อนจะปล่อยไป
พวกเขาได้บันทึกข้อมูลหนูผี 4 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันในพื้นที่ ซึ่งบางสายพันธุ์มีความคล้ายคลึงกับหนูผี เขาไลเอลล์มาก จนต้องใช้การทดสอบทางพันธุกรรม เพื่อยืนยันว่าพวกเขาพบหนูผีเขาไลเอลล์จริง ๆ โดยฟอร์บส์กล่าวว่า หนูพวกนี้มีฤทธิ์เยอะมาก
“มันกัดและอยู่ไม่สุขเลย ดังนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เราต้องเอาพวกมันใส่ถุงพลาสติก เวลาชั่งน้ำหนัก แต่พวกมันก็กัดถุงได้อีก พวกมันเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างรับมือได้ยาก แต่มันก็คุ้มค่า”
เจนสังเกตเห็นว่าหนูผีเขาไลเอลล์ตัวเล็กและเบามาก โดยหนูผีตัวเล็กที่สุดมีความยาวไม่ถึง 4 นิ้ว มีน้ำหนักเพียง 1 กรัมครึ่ง มีน้ำหนักของคลิปหนีบกระดาษ 2 อัน “หนูผีชนิดนี้มีขนาดเกือบเท่าแมลง เวลาอุ้มพวกมันให้ความรู้สึกแตกต่างจากหนูหรือแฮมสเตอร์มาก”
ทีมสำรวจกล่าวว่าการจับหนูผีเขาไลเอลล์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้สามารถสังเกตพฤติกรรมของพวกมันได้ โดยตอนนี้พวกเขารู้ว่าพวกมันเก็บอาหารไว้กินทีหลัง หรือ ชอบแอบงีบหลับสั้น ๆ แต่ก็ยังมีข้อมูลไม่มากอยู่ดี
การเผยแพร่ถ่ายภาพสัตว์ตัวจิ๋วที่ไม่ค่อยมีคนเห็น ช่วยให้สาธารณชนสามารถรู้จักพวกมันมากขึ้น และจะช่วยในการอนุรักษ์ โดยสุบรามันยันกล่าวว่า “หากไม่มีสร้างความตระหนักรู้และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชน สัตว์ชนิดนี้ก็คงจะหายไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้เลย”
ที่มา: CNN, New York Post, The Guardian , The San Francisco Standard