'ศุภนิมิต' เดินหน้าช่วยเหลือเด็ก ปรับกลยุทธ์ ลุยดิจิทัล เพิ่มยอดเงินบริจาค

มูลนิธิศุภนิมิต (World Vision Thailand) เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเด็ก ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้พ้นจากความยากจนและความอยุติธรรม
KEY
POINTS
- มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยเปิดตัว “รสลิน โกแวร์” ผู้อำนวยการคนใหม่
- ปี 2568 ศุภนิมิตฯ เดินหน้าช่วยเหลือเด็กเปราะ
เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเด็กเปราะบางในประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการพัฒนาของพวกเขา เด็กเหล่านี้อาจมาจากครอบครัวที่มีสถานการณ์ที่ไม่ดี เช่น ความยากจน การขาดโอกาสทางการศึกษา การเผชิญหน้ากับความรุนแรง และความไม่มั่นคงทางครอบครัว นอกจากนี้ บางคนยังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ การใช้แรงงานเด็ก การค้ามนุษย์ หรือการเป็นผู้ลี้ภัย
ความพยายามในการสนับสนุนเด็กเปราะบางในประเทศไทยมักเกี่ยวข้องกับองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (NGO)
อย่างเช่น มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย (World Vision Foundation of Thailand) ที่ได้ดำเนินพันธกิจในไทยมาแล้วกว่า 50 ปี โดยอาศัยความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นและชุมชนในพื้นที่กว่า 36 จังหวัดของประเทศ ล่าสุดมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้เปิดตัว “รสลิน โกแวร์” ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย คนใหม่ ที่มาบริหารองค์กรต่อจาก ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง พร้อมกับจัดงานเปิดวิสัยทัศน์ Celebrate Vision, Celebrate You และเผยงานวิจัยในกลุ่มเด็กกว่า 83,000 คน
ความท้าทาย ด้านเงินบริจาค
“รสลิน” กล่าวว่า ในปี 2568 นี้ ศุภนิมิตฯยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจในงานการพัฒนาเพื่อต่อยอดและปรับปรุงแนวทางในการดำเนินงานและติดตาม เพื่อให้สามารถเข้าถึงและช่วยเหลือเด็กเปราะบางยากไร้ที่สุดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“สามสี่ปีที่ผ่านมา เป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับโครงการอุปการะเด็กของศุภนิมิตฯ เพราะหลังจากโควิดระบาดและเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนถอนการอุปการะเด็ก 3,000-4,000 กว่าคน ทำให้เราช่วยเด็กได้ไม่ถึง 1,000 คนต่อปี แต่ปี 2024 มีแนวโน้มดีขึ้น และตอนนี้มีเด็กในการอุปการะกว่า 39,000 คน
เพราะเราปรับตัวลุยในเรื่องของดิจิทัลมากขึ้น และทำโครงการที่ภาคธุรกิจสนใจมีส่วนร่วมช่วยเหลือมากขึ้น ปีนี้เราตั้งเป้าได้ทุนช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน สำหรับทุกโครงการรวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอุปการะเด็กและโครงการพัฒนาเด็กประมาณ 280 ล้านบาท”
ผลงานปีที่ผ่านมา
ผลงานของเราในปี 2024 ด้วยการดําเนินพันธกิจร่วมกัน สามารถเข้าถึงผู้เปราะบางกว่า 2.3 ล้านคน ซึ่งในจํานวนนี้เป็นเด็กเปราะบางยากไร้ที่สุดกว่า 1.3 ล้านคนผ่านโครงการพัฒนาและงานรณรงค์เพื่อความยุติธรรมในสังคมต่างๆ มีผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 8,000 คน ได้รับปัจจัยจําเป็นและสิ่งของยังชีพและที่พักพิงชั่วคราว มีเด็ก 61,000 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการ มื้อเช้าเพื่อน้องท้องอิ่ม การสนับสนุนสื่อการเรียนรู้
และการอบรมพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับการใส่ใจ พ่อแม่ผู้ปกครอง 13,000 คน ได้รับการส่งเสริมอาชีพ และประชากรข้ามชาติ 128,000 คน ซึ่งในจํานวนนี้เป็น เด็ก 11,000 คน สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้มากขึ้น เป็นต้น
“รสลิน” กล่าวด้วยว่า จำเป็นต้องทำเป้าหมายให้ชัด และเน้นโครงการระยะสั้นด้วย ถึงจะอุปการะผู้สนับสนุนได้มาก นอกจากนั้น จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชน เพื่อสามารถทราบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเด็กกลุ่มใดคือเด็กที่เปราะบางยากไร้ที่สุด เพื่อช่วยเหลือและมอบการสนับสนุนได้อย่างตรงเป้าหมายตามความต้องการที่จำเป็น เพื่อแก้ปัญหาความยากไร้ที่มีความซับซ้อน ตลอดจนช่วยเสริมสร้างการทำงานของเครือข่ายให้เข้มแข็ง และเป็นกำลังในการหนุนเสริมหน่วยงานภาครัฐให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDG)
ทำการวิจัยในกลุ่มเด็ก
เมื่อไม่นานมานี้ มูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้ทำการวิจัยในกลุ่มเด็กกว่า 83,000 คน ทั้งที่อาศัยในพื้นที่ชนบทและในเขตชุมชนเมือง ทั้งที่เป็นเด็กในความอุปการะและไม่ใช่เด็กในความอุปการะ ซึ่งในงานวิจัยนี้ ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เน้นถึงรูปแบบและลักษณะของความเปราะบางยากไร้ในเด็กและเยาวชน รวมถึงรากของปัญหาที่เป็นสาเหตุของความเปราะบางยากไร้
จากการสำรวจ สามารถแบ่งมิติความเปราะบางยากไร้ออกเป็น 4 มิติ คือ 1. การถูกละเมิดหรือแสวงหาประโยชน์ 2. การขาดแคลนอย่างรุนแรง 3. ภาวะเปราะบางจากภัยพิบัติหรือมหันตภัย และ 4. การกีดกันอย่างรุนแรง ในบรรดามิติความเปราะบางยากไร้
“ในบรรดามิติความเปราะบางยากไร้ทั้ง 4 มิตินี้ มิติที่ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางสูงสุดคือ การขาดแคลนอย่างรุนแรง (63%) รองลงมาคือ การกีดกันอย่างรุนแรง (28%), ภาวะเปราะบางจากภัยพิบัติหรือมหันตภัย (25%), และการถูกล่วงละเมิด (18%)”
นอกจากนั้น กว่า 51% ของเด็ก 83,000 รายที่ทำการสำรวจ พบว่าเป็นเด็กที่เปราะบางยากไร้ที่สุด และเด็กในช่วงอายุ 7-12 ปี มีสัดส่วนสูงสุดในกลุ่มเด็กที่ได้รับการระบุว่า เป็นเด็กเปราะบางยากไร้ที่สุด และเด็กเปราะบางยากไร้"
“รสลิน” กล่าวว่า รูปแบบของความเปราะบางที่สูงที่สุด คือ เด็กที่อาศัยอยู่ในสภาพครอบครัวที่ยากจน คิดเป็นร้อยละ 44 หรือประมาณ 37,000 คน รองลงมาคือ เด็กที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ คิดเป็นร้อยละ 19 และเด็กที่มาจากครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว คิดเป็นร้อยละ 16 นอกจากนี้ ยังพบว่า ร้อยละ 20 ของเด็กในพื้นที่โครงการของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือบริเวณชายแดน และ ร้อยละ 9.4 เป็นกลุ่มเด็กชายขอบ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปราะบาง
ทีมงานศุภนิมิตฯ ได้ทำการศึกษารากของความเปราะบางยากไร้เหล่านี้ และพบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหามีดังต่อไปนี้
1. โครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป (Changing family structures) : มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจสังคมที่สัมพันธ์กันหลายประการ การย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมืองเนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ อันส่งผลต่ออัตราการแยกกันอยู่และการหย่าร้างของพ่อแม่ ซึ่งทั้งสองปัจจัยนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของครัวเรือนแบบ “ข้ามรุ่น” คือปู่ย่าตายายเป็นผู้เลี้ยงดูหลานแทนพ่อแม่ของเด็ก เรามักจะเห็นว่าแนวโน้มเหล่านี้ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในการทำประชุมกลุ่มสนทนา (Focused Group Discussion - FGD)
2. การใช้สารเสพติดที่เพิ่มขึ้น (Increasing substance abuse) : จากการทำประชุมกลุ่มสนทนา (FGD) ทุกกลุ่มอายุในทุกพื้นที่ต่างระบุตรงกันว่าการใช้สารเสพติด ทั้งยาเสพติดและแอลกอฮอล์ เป็นประเด็นสำคัญที่น่ากังวลใจอย่างมาก เด็กและเยาวชนหลายคนที่ร่วมการสำรวจรายงานว่า “เคยพบเจอกับการใช้สารเสพติดทั้งภายในบ้านและชุมชน” และในประเด็นที่เชื่อมโยงกับ ความเปราะบางยากไร้ หัวข้อที่พบบ่อยครั้งคือ การติดสารเสพติดเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดความรุนแรงที่กระทำโดยพ่อแม่และการทอดทิ้งละเลยเด็กในครอบครัว
3. ความตึงเครียดทางการเงิน เป็นเหตุผลที่มักจะอ้างถึงมากที่สุดที่เป็นสาเหตุให้พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กหันไปใช้สารเสพติด ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจนี้ มักถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยความตึงเครียดทั้งภายในและภายนอกครัวเรือน ตัวอย่างของปัจจัยภายใน ได้แก่ คนในครอบครัวเป็นโรคเรื้อรังหรือโรคร้ายแรง ในขณะที่ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป