Kick Off ไทย-ลาว ร่วมสร้างแนวกันไฟ ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

Kick Off ไทย-ลาว ร่วมสร้างแนวกันไฟ ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับภาคีจังหวัดเชียงราย Kick off ความร่วมมือ 3 เมืองคู่ขนาน สัมพันธ์ ไทย-ลาว ทำแนวกันไฟ บูรณาการความร่วมมือลดหมอกควันข้ามแดน

KEY

POINTS

  • การเกิดหม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาหมอกควันข้ามแดนได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ลาว และพม่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีการเผาป่าทำไร่สูง การเกิดหมอกควันไม่เพียงทำให้คุณภาพอากาศในภูมิภาคลดลงอย่างมาก แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอีกด้วย

ความท้าทายในการจัดการปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการกำหนดนโยบายและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการลดหมอกควัน รวมถึงการเพิ่มความตระหนักรู้และสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการเผา

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย  (Thailand Environment Institute Foundation : TEI) พร้อมด้วยภาคีความร่วมมือภาคส่วนต่างๆ ได้ Kick Off ขับเคลื่อนความร่วมมือทำแนวกันไฟลดเผา 3 เมืองคู่ขนาน สร้างสัมพันธ์ไทย-ลาว ณ หลักหมุดหมายแก่งผาได อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยร่วมกันจัดทำแนวกันไฟแนวชายแดนไทย-ลาว ป้องกันการลุกลาม

รวมทั้งรณรงค์ลดการเผาในแปลงเกษตรและป่าใน หมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น หนึ่งในกิจกรรมสำคัญการขับเคลื่อนพัฒนาความร่วมมือ ไทย-ลาว-เมียนมา การจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน

Kick Off ไทย-ลาว ร่วมสร้างแนวกันไฟ ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

สถิติจุดความร้อน

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนจุดความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ในประเทศไทย ลาว และเมียนมา

  • ไทย: ในภาคเหนือของประเทศไทย มีการตรวจพบจุดความร้อนประมาณ 31,971 จุด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2022 ซึ่งมีเพียง 13,351 จุด
  • ลาว: ในปี 2023 ลาวมีการบันทึกจุดความร้อนไว้ประมาณ 2,868 จุด ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีส่วนในการสร้างมลพิษหมอกควันในภูมิภาค
  • เมียนมา: เมียนมามีจำนวนจุดความร้อนสูงที่สุดในสามประเทศ โดยตรวจพบจุดความร้อนจำนวน 4,363 จุดในปี 2023 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพอากาศในประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงประเทศไทย

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ยังคงอยู่ในการจัดการและลดกิจกรรมการเผาไหม้ที่มีส่วนในการสร้างมลพิษหมอกควันข้ามพรมแดนในภูมิภาค

เชียงรายวิกฤตไฟป่าและหมอกควัน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่วิกฤตที่ประสบปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างหนักในภาคเหนือ เนื่องจากการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่ทำการเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ด้วยที่ตั้งที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเมียนมา ส่งผลให้มลพิษหมอกควันข้ามแดนเพิ่มขึ้นจนยากต่อการควบคุม

ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีและตระหนักถึงปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้น การจัดกิจกรรม Kick Off ขับเคลื่อนความร่วมมือในการทำแนวกันไฟและลดการเผาครั้งนี้ จะยิ่งตอกย้ำและยกระดับความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีกันนี้จะส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติร่วมกันในการจัดการลดการเผาและลดผลกระทบในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างกระบวนการดำเนินงานข้ามพรมแดนที่ยั่งยืนต่อไป

ชายแดนไทย-ลาว

ท่านทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้ว ได้กล่าวถึงความร่วมมือที่ดีระหว่างแขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในการร่วมกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม ผ่านกลไกความร่วมมือทางการตามชายแดนไทย-ลาว การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดตลอดมา ทั้งการเยี่ยมเยือนและการช่วยเหลือระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของไทยที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและเป้าหมายร่วมกันในการสร้างลมหายใจที่ปลอดฝุ่น

โดย สปป.ลาวและไทยต่างก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าตามแผนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งต้องการความร่วมมือและการเชื่อมั่นในบรรยากาศการทำงานร่วมกันที่ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต

Kick Off ไทย-ลาว ร่วมสร้างแนวกันไฟ ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

สปป.ลาว ติด 5 จังหวัดไทย

ท่านพงสะหวัน สิดทะวง เจ้าแขวงไชยะบูลี ได้กล่าวถึงตำแหน่งของแขวงไชยะบูลี ซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุดของ สปป.ลาว และมีพื้นที่ติดกับ 5 จังหวัดของประเทศไทย ได้แก่ เชียงราย, พะเยา, น่าน, อุตรดิตถ์, และพิษณุโลก รวมถึงแขวงที่ติดกันใน สปป.ลาว การไปมาระหว่างเมืองเขตแดนและการทำกิจกรรมร่วมกันได้สร้างความสัมพันธ์อันดีตลอดมา

ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาและฝุ่นควันที่ลอยข้ามแดนยังคงต้องการความเข้าใจและการร่วมมือที่ดีระหว่างกัน เพื่อร่วมกันรณรงค์สร้างความตระหนักในหมู่ประชาชนให้ลดการเผา เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในอนาคต

เวียงแก่น เมืองคู่ขนาน

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานพร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ ได้ดำเนินการตามแนวนโยบายที่ได้หารือในการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนไทย-ลาว ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับแขวงบ่อแก้ว

โดยเน้นการสร้างความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน

"เรามีความร่วมมือที่ดีและชัดเจน ผู้นำจากเมืองห้วยทรายและปากทาได้เข้าร่วมกิจกรรมของอำเภอเวียงแก่นมาเป็นระยะ เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว แนวกำแพงสีเขียวเพื่อปกป้องระบบนิเวศป่า การสร้างแนวกันไฟตามแนวชายแดนในช่วงหน้าแล้ง และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรลดการเผาและเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทย เพื่อนำไปปรับใช้ในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป"

ลดเผาในภาคเกษตร

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ได้มีบทบาทและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงรายและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาวและเมียนมา

"การทำงานที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการจัดการและลดหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดองค์ความรู้จากการดูงานของผู้นำจาก สปป.ลาว ที่แม่แจ่มโมเดล จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้ผลักดันให้เกิดแนวทางและการปฏิบัติที่ดีในการลดการเผาในภาคเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกัน"