‘ยูเออี’ เปิดตัว ‘วีซ่าสีน้ำเงิน’ สำหรับบุคลากรด้านความยั่งยืน-สิ่งแวดล้อม

‘ยูเออี’ เปิดตัว ‘วีซ่าสีน้ำเงิน’ สำหรับบุคลากรด้านความยั่งยืน-สิ่งแวดล้อม

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หวังว่าจะดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม ด้วย โครงการ “วีซ่าสีน้ำเงิน” (Blue Visa)

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี (UAE) เปิดตัวโครงการ “วีซ่าสีน้ำเงิน” (Blue Visa) ระยะเวลา 10 ปี สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ในระหว่างการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลก 2025 ที่ดูไบ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเป็นการขยายโครงการวีซ่าถิ่นที่อยู่สีทอง (Golden Residency) และสีเขียว (Green Residency) ที่เปิดตัวก่อนหน้า

กระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสำนักงานกลางด้านเอกลักษณ์ สัญชาติ ศุลกากร และความมั่นคงของท่าเรือ (ICP) ประกาศแผนริเริ่มดังกล่าวระหว่างการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลก 2025 ที่ดูไบ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์

โดยเฟสแรกของโครงการนี้ระบุว่า จะมอบวีซ่าสีน้ำเงินให้แก่นักคิดและนักนวัตกรรมด้านความยั่งยืนจำนวน 20 คน ซึ่งรวมถึงสถาปนิกที่สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน สัตวแพทย์ที่อุทิศชีวิตเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า และผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนที่ใช้เวลาสองทศวรรษในการพัฒนาระดับนานาชาติ

ในอนาคต บุคคลที่มีส่วนสนับสนุนอย่างโดดเด่นในด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และต่างประเทศ จะสามารถสมัครวีซ่าประเภทนี้ได้ ซึ่งคุณสมบัติของผู้ที่สามารถสมัครวีซ่านี้จะต้องเป็น ผู้สนับสนุนการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้สนับสนุนการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สมาชิกขององค์กรและบริษัทระหว่างประเทศ สมาชิกของสมาคมหรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ชนะรางวัลระดับโลก รวมถึงบุคคลที่มีสิทธิ์สามารถสมัครโดยตรงผ่าน ICP หรือได้รับการเสนอชื่อโดยทางการสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ดร.อัมนา บินต์ อับดุลลาห์ อัล ดาฮัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก

“โครงการนี้มีเป้าหมายสนับสนุนของบุคคลต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายระดับชาติที่ทะเยอทะยานและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคนทั่วโลก” เธอกล่าวกับสำนักข่าวเอมิเรตส์ WAM

ความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมของยูเออีชัดเจนมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศนี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดสหประชาชาติ COP28 และประกาศนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายประการ พร้อมยกให้ปี 2024 เป็น “ปีแห่งความยั่งยืน” 

สุลต่าน บิน อาห์เหม็ด อัล จาเบอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงกล่าวว่าโครงการพำนักเป็นการสานต่อแรงผลักดันที่ได้รับระหว่างการประชุม COP28 

“วีซ่านี้จะสร้างผลงานที่ดี และจะช่วยสร้างให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้” เขากล่าว

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าโครงการวีซ่าสีน้ำเงินส่งผลดีต่อประเทศไทยหลายด้าน ทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจากประเทศไทยอาจได้รับโอกาสไปทำงานหรือศึกษาดูงานในยูเออี ผ่านโครงการนี้ ซึ่งจะช่วยนำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลับมาพัฒนาประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ไทยได้รับความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยจากยูเออี และหากมีคนไทยได้รับวีซ่าสีน้ำเงิน จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีบุคลากรที่มีความสามารถในด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

การที่ยูเออี เป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนของโลก อาจช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทไทยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสีเขียวหรือพลังงานสะอาดได้ขยายตลาดไปยัง ยูเออี และภูมิภาคตะวันออกกลาง ตลอดจนสร้างเครือข่ายระดับโลก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย

 

ที่มา: EarthBusiness StandardEconomic Times