‘ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม’ รั่ว ปี 2022 ปล่อย ‘ก๊าซมีเทน’ มากสุดในประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ระเบิดใต้น้ำจนทำให้ “ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม” แตกในปี 2022 ทำให้เกิดการรั่วไหลของ “ก๊าซมีเทน” ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้
KEY
POINTS
- การรั่วไหลของก๊าซมีเทนจากนอร์ดสตรีมถือเป็นการรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยบันทึกไว้ โดยUNEP พบว่า มีก๊าซมีเทนรั่วไหลออกมาระหว่าง 445,000-485,000 ตัน
- การปล่อยมีเทนออกมาในคราวเดียวมากเกินไปจะเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลักษณะที่ไม่คาดคิด
- แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่เหตุการณ์นอร์ดสตรีม
เดือนกันยายน 2022 เกิดหายนะครั้งใหญ่ใต้ “ทะเลบอลติก” เมื่อ “ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม” ขนส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังยุโรป แตกร้าวอย่างรุนแรง ส่งผลให้ “ก๊าซมีเทน” ก๊าซเรือนกระจกที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุดชนิดหนึ่ง รั่วไหลออกมา ก๊าซก็เริ่มฟองขึ้นที่จุดแตก 4 จุด ทำให้เกิดฟองขนาดใหญ่บนผิวน้ำ ในขณะนั้นผู้เชี่ยวชาญระบุว่าน่าจะควบคุมได้ แต่การวิจัยใหม่เปิดเผยความจริงที่ร้ายแรงกว่ามาก
การระเบิดจนทำให้ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีมรั่วไหล เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่รัสเซียรุกรานยูเครน โดยยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างโทษกันไปมาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดระเบิดในครั้งนี้ รวมถึงความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
ข้อมูลจากงานการศึกษาที่ประสานงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) พบว่า มีก๊าซมีเทนรั่วไหลออกมาระหว่าง 445,000-485,000 ตัน ซึ่งสูงกว่าที่การประมาณการก่อนหน้านี้ ที่ราว 75,000-230,000 ตัน ทำให้กลายเป็นการรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง การค้นพบนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเร่งด่วนในการลดปริมาณมีเทนทั่วโลก
ก๊าซมีเทนกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศได้เร็วกว่าคาร์บอนไดออกไซด์มาก ทำให้มีเทนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การปล่อยมีเทนออกมาในคราวเดียวมากเกินไปจะเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลักษณะที่ไม่คาดคิด
นักวิจัยรวบรวมข้อมูลขั้นสูงจากดาวเทียม โดยใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อระบุขอบเขตที่แท้จริงของการรั่วไหล รวมถึงดาวเทียมสำรวจโลกหลายดวง เช่น Copernicus Sentinel-1 และ Sentinel-2 พร้อมด้วยเครื่องวัดเสียงบรรยากาศอินฟราเรด (IASI) บนดาวเทียม MetOp-B ของ Eumetsat และข้อมูลเพิ่มเติมมาจากภารกิจอวกาศขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) เช่น Landsat 8 และ GHGSat
นักวิจัยยังได้นำการสังเกตการณ์ทางทะเล การวัดในชั้นบรรยากาศ การตรวจสอบทางอากาศ และการคำนวณทางวิศวกรรมมาใช้ แหล่งข้อมูลที่หลากหลายเหล่านี้ทำให้สามารถวิเคราะห์การปล่อยก๊าซมีเทนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
สตีเฟน แฮร์ริส นักวิทยาศาสตร์จากหอสังเกตการณ์การปล่อยก๊าซมีเทนระหว่างประเทศของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (IMEO) เน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางนี้ โดยระบุว่า
“การสังเกตการณ์ผ่านดาวเทียมเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของแนวทางการวัดที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น เมื่อนำมารวมกันแล้วจะทำให้การศึกษาสามารถประเมินการปล่อยก๊าซมีเทนจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการวิธีการวัดก๊าซมีเทนที่หลากหลายและเสริมซึ่งกันและกัน”
ดิเอโก เฟอร์นานเดซ ปรีเอโต หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์การสังเกตการณ์โลกของ ESA อธิบายถึงความสำคัญของความก้าวหน้าของดาวเทียมในการติดตามการปล่อยก๊าซมีเทน
“การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของ ESA สำหรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในการวัดมีเทนจากดาวเทียมได้ปรับปรุงความสามารถของเราในการระบุลักษณะการรั่วไหลของมีเทนทั่วโลก ผมเชื่อว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวิทยาศาสตร์มาถ่ายทอดสู่การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากปัจจุบันเรามีอุปกรณ์ที่ดีขึ้นในการติดตามความคืบหน้าและตอบสนองต่อคำมั่นสัญญาเรื่องมีเทนระดับโลก” เฟอร์นันเดซ ปรีเอโตกล่าว
ปัจจุบัน การรั่วไหลของก๊าซมีเทนจากนอร์ดสตรีมถือเป็นการรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยบันทึกไว้ โดยจากการประเมินสูงสุดพบว่ามีการปล่อยก๊าซมีเทนมากกว่า 4 เท่าจากการรั่วไหลของก๊าซมีเทนที่อลิโซแคนยอนในปี 2015–2016 ในสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ทราบ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีขนาดใหญ่ เหตุการณ์นอร์ดสตรีมกลับคิดเป็นเพียง 0.1% ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดที่เกิดจากมนุษย์ในปี 2022 และเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซมีเทนของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเพียง 2 วันเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงแหล่งก๊าซมีเทนอื่น ๆ จำนวนมากที่เกิดจากมนุษย์
การลดปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนถือเป็นความพยายามระดับโลกที่มีความสำคัญ ที่ผ่านมาทั่วโลกได้ร่วมมือก่อตั้งปฏิญญาสากลเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน (Global Methane Pledge) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากกิจกรรมมนุษย์ให้ได้ 30% ในช่วงปี 2020-2030 โดยอาศัยการตรวจสอบที่ดีขึ้นและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกอันทรงพลังนี้ในชั้นบรรยากาศยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประมาณการว่า การผลิตและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซมีเทนเกือบ 120 ล้านตันในปี 2023 ส่วนอีก 10 ล้านตันมาจากพลังงานชีวภาพ เช่น มีเทนที่ถูกปล่อยออกมาตามธรรมชาติจากพื้นที่ชุ่มน้ำและแม่น้ำ รวมถึงวัว ทุ่งนา และหลุมฝังกลบขยะ
ระดับของมีเทนยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำลายสถิติไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2019 โดย IEA ตั้งข้อสังเกตว่าในแต่ละวันการดำเนินการด้านน้ำมันและก๊าซปกติทั่วโลกปล่อยก๊าซมีเทนปริมาณเท่ากับการระเบิดของนอร์ดสตรีม
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ท่อส่งก๊าซระเบิดอีก หลายกำลังดำเนินการเชิงรุกสำหรับแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซที่เสื่อมสภาพ รัฐต่าง ๆ ในสหรัฐ ได้ริเริ่มโครงการเพื่อระบุและซ่อมแซมการรั่วไหลของมีเทนจากท่อส่งเก่า ชุมชนชายฝั่งจำนวนมากกำลังผลักดันให้มีการตรวจสอบท่อส่งก๊าซใต้น้ำที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
แต่วิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การเร่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมไม่มีความเสี่ยงในการรั่วไหลอย่างร้ายแรงเหล่านี้ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยปกป้องทั้งเศรษฐกิจในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมจากภัยพิบัติ ขณะเดียวกันก็สร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป
ที่มา: Earth, France 24, The Cool Down