โลกมี ‘ก๊าซเรือนกระจก’ มากสุดในรอบ 8 แสนปี เกิดภัยธรรมชาติตลอดปี 2024

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้เปิดเผยถึงสภาวะอันเลวร้ายของโลกที่บันทึกปีที่ร้อนที่สุด 10 ปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
KEY
POINTS
- ปี 2024 ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกเมื่อ 175 ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสก่อนยุคอุตสาหกรรม
- ก๊าซคาร์บอนไดออก
รายงาน State of the Global Climate ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้รวบรวมสถิติที่น่าตกใจเกี่ยวกับ “สภาพภูมิอากาศ” ของโลก พบว่า ความเข้มข้นของ “ก๊าซเรือนกระจก” ในชั้นบรรยากาศอยู่ในเกณฑ์สูง โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แตะระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบอย่างน้อย 2 ล้านปี ส่วนมีเทนและไนตรัสออกไซด์ อยู่ระดับสูงสุดในรอบ 800,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่มนุษย์ประสบกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดนับตั้งแต่ถือกำเนิดมาเมื่อประมาณ 300,000 ปีก่อน
อีกทั้งปี 2024 ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกเมื่อ 175 ปีที่แล้ว โดยทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2023 และปี 2024 น่าจะเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยวิทยาศาสตร์ระบุผู้นำโลกดำเนินการ “ลดโลกร้อน” อย่างเด็ดขาด ก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลงไปกว่านี้
รายงานระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิที่สูงขึ้นในปี 2024 มาจากก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นปีที่เกิด “ปรากฏการณ์เอลนีโญ” ยิ่งทำให้อากาศร้อนขึ้นไปอีก และความร้อนในระดับนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2025 แม้ว่าจะเกิด “ปรากฏการณ์ลานีญา” แล้วก็ตาม โดย WMO กล่าวว่าภาวะโลกร้อนในระยะยาวจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.34-1.41 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ อันโตนิโอ กูเตียเรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า เรายังสามารถควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสยังได้อยู่ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนทั้งโลก
อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นยังส่งผลให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินไว้ถึง 90% โดยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลมีอุณหภูมิร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ และอัตราอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในช่วง 20 ที่ผ่านมา สูงกว่าช่วงปี 1950-2005 ถึง 2 เท่า
น้ำร้อนขึ้นทำให้แนวปะการังฟอกขาวอย่างรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพายุโซนร้อนเกิดบ่อยขึ้น ส่งผลให้น้ำแข็งในทะเลละลายมากขึ้น ที่สำคัญทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทั่วโลกเป็น 2 เท่านับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลผ่านดาวเทียมครั้งแรกในปี 1993 และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024
ระดับน้ำทะเลระหว่างปี 2015-2024 อยู่ที่ 4.7 มิลลิเมตร สูงขึ้นกว่ายุค 1993-2002 ที่ระดับ 2.1 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในมหาสมุทร และยังไม่มีท่าทีว่าจะชะลอลง นับตั้งปี 2021 เป็นต้นมา โลกสูญเสียธารน้ำแข็งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่ง จากน้ำท่วม การกัดเซาะ และน้ำใต้ดินเค็มมากขึ้น
ในปี 2024 เกิดพายุหมุนเขตร้อนและพายุเฮอริเคนทำให้เกิดลมแรง ฝนตกหนัก และน้ำท่วม มีการบันทึกคลื่นความร้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลายสิบครั้ง รวมถึงในซาอุดีอาระเบีย มีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ในระหว่างการแสวงบุญฮัจญ์ ไฟป่าและภัยแล้งรุนแรงยังโหมกระหน่ำในบางประเทศ
รายงานระบุว่าในปี 2024 เพียงปีเดียว มีเหตุการณ์สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงที่ “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” อย่างน้อย 151 ครั้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนจำเป็นต้องอพยพออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยมากที่สุดในรอบ 16 ปี ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหาร WMO กล่าวว่าใน 8 ประเทศ มีผู้คนอย่างน้อยหนึ่งล้านคนที่เผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับปี 2023 รายงานระบุว่า เหตุการณ์เหล่านี้เป็น “สัญญาณที่ชัดเจน” ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2024
อันที่จริงความสูญเสียจากภัยพิบัติสามารถป้องกันได้ด้วยระบบเตือนภัย แต่มีประเทศเพียง 50% เท่านั้นที่มีระดับเตือนภัยล่วงหน้าที่เหมาะสม และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ กลุ่มประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพอากาศมากที่สุด ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับภัยพิบัติเลย
เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการ WMO กล่าวว่า “นี่เป็นการเตือนสติว่าเรากำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิต เศรษฐกิจ และโลกของเรา"
นอกจากนี้ ซาอูโลกล่าวว่าการลงทุนด้านบริการเกี่ยวกับสภาพอากาศ น้ำ และภูมิอากาศมีความสำคัญมากกว่าที่เคย เพื่อรับมือกับความท้าทายและสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“WMO และชุมชนโลกกำลังเร่งความพยายามในการเสริมสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าและบริการด้านภูมิอากาศ เพื่อช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจและสังคมโดยรวมมีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อสภาพอากาศและภูมิอากาศที่รุนแรง” เธอกล่าวเสริม
รายงานฉบับนี้เผยแพร่หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ออกคำสั่งยกเลิกพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศหลายครั้ง และตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่สหรัฐเป็นประเทศผู้ก่อมลพิษรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้หลายคนกังวลว่าประเทศอื่น ๆ อาจลดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมลง
“วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ความพยายามปกปิดวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศจากสาธารณชนจะไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกถึงผลกระทบอันเลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้” เบรนดา เอควอร์เซลจากสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใยกล่าว
การศึกษานี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ยิ่งทั่วโลกชะลอการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนานเท่าไร ผลกระทบก็จะยิ่งเลวร้ายลงเท่านั้น อีกไม่นานโลกจะถึงจุดที่ได้ที่การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้นำประเทศใหญ่ ๆ ของโลก ยังไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้อย่างเพียงพอ แม้ว่าสถิติต่าง ๆ จะถูกทำลายอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ที่มา: AP News, CNN, Euro News, The New York Times