เตรียมรับมือ 4 หน่วยงานพลิกโฉมวิจัยไทย รองรับวิกฤตโลกเดือด

เตรียมรับมือ 4 หน่วยงานพลิกโฉมวิจัยไทย รองรับวิกฤตโลกเดือด

การปรับทิศทางงานวิจัยที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สังคมไทย ไม่เพียงแต่ความสามารถในการปรับตัว และการเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

KEY

POINTS

  • จัดทำกรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลง

การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ และในยุคปัจจุบันที่โลกเผชิญกับวิกฤตหลายมิติ ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และความท้าทายด้านสุขภาพ การปรับรูปแบบการศึกษาให้สอดคล้องกับทิศทางงานวิจัยที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สังคมไทยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน การกำหนดแนวทางที่สอดคล้องกับการวิจัยยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทยสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้วยเหตุนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จึงได้ผลักดันภาคการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม

โดยล่าสุดได้สร้างความร่วมมือกับ 3 องค์กรการศึกษา ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานสภานโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ภายใต้บันทึกความร่วมมือสนับสนุนการดำเนินงานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัย มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เสริมสร้างขีดความสามารถ

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ความร่วมมือจึงเป็นส่วนสำคัญ โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถ และสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ รวมถึงการนำผลงานวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ทั้งเชิงนโยบาย เชิงวิชาการ เชิงพาณิชย์ เชิงพื้นที่ อีกทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลนักวิจัย ฐานข้อมูลวิจัย และการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง

กรอบและแผนงานวิจัย

โดยความร่วมมือครั้งนี้ ได้จัดทำกรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ 3 ด้าน เพื่อให้การวิจัย การพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศแบบคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประกอบด้วย

(1) กรอบงานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกที่ยั่งยืน

(2) กรอบงานวิจัยด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

(3) กรอบงานวิจัยด้านงานวิจัยเชิงระบบ ตามความสำคัญ เร่งด่วน และสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้

โดยได้วางเป้าหมายการดำเนินงานในประเด็นสำคัญและเร่งด่วนของการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ อาศัยกลไกความร่วมมือของเครือข่ายภาคีด้านดำเนินการวิจัย ทั้งหน่วยงานกำหนดนโยบายด้านการวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานจัดสรรทุนวิจัย และเครือข่ายการดำเนินงานวิจัย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยผลักดัน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป

สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณ

ศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. มีบทบาทในการสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ให้กับหน่วยงานวิจัย (ทุนสนับสนุนงานมูลฐาน) และหน่วยบริหารและจัดการทุน (ทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์) ในการส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและนักวิจัยทำการวิจัยและพัฒนา

สนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และกำหนดท่าทีการเจรจาด้านการค้าการลงทุนและพันธกรณีระหว่างประเทศ การขับเคลื่อนนโยบายอย่างมีกลยุทธ์เพื่อการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

ตลอดจนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทิศทางในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ผลจากการวิจัยและนวัตกรรม มาพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมและระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมเท่าเทียม เพิ่มความสามารถของสังคมไทยในการสร้างภูมิคุ้มกันและยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ขับเคลื่อนการปฏิรูประบบ

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. ออกแบบและจัดทำข้อเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) รวมถึงการจัดทำข้อเสนอการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบ อววน. และร่วมขับเคลื่อนกับภาคีเครือข่ายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง

เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางพลวัตของโลก เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทยได้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เสริมสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรม และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติ โดยใช้บทบาทการเป็นเลขานุการสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

อีกทั้ง สอวช. ยังมีบทบาทเป็นหน่วยงานประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (NDE) เป็นการดำเนินงานร่วมกับ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และกรมลดโลกร้อน เกี่ยวกับกลไกด้านเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทำให้เห็นแนวโน้มในระดับนานาชาติ ที่มีการมุ่งเน้นเชื่อมโยงกลไกต่างๆ กับระบบนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นส่วนหนึ่งและเป็นเรือธงของยุทธศาสตร์ด้าน อววน. ที่ สอวช. ขับเคลื่อนอยู่ ผ่านโครงการริเริ่มและทำงานผ่านแผน ววน. กับหน่วยงานอย่าง สกสว. และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ดังที่ปรากฏในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ ที่ได้ดำเนินการร่วมกับ กรมลดโลกร้อน สกสว. และ ทปอ.

พัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ

ผศ.ดร.กฤษชัย ศรีบุญมา ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ทปอ. จะเป็นกลไกหลักในการผลักดันและส่งเสริมการทำงานของเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Campus) นำไปสู่ Low Carbon and Climate Resilient Society เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงพื้นที่

รวมถึงพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ (Upskill and Reskill) ผลิตที่ปรึกษาและผู้ตรวจประเมินภายนอก สำหรับการตรวจสอบความใช้ได้และการทวนสอบ (Validation and Verification) ด้านก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาแพลตฟอร์มกลางติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเครือข่ายมหาวิทยาลัย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยผลักดัน ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมสร้างขีดความสามารถ และสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของประเทศต่อไป