กรุงเทพฯ 'วิกฤตความร้อน' เศรษฐกิจทรุด สุขภาพแย่ เร่งแผนดับร้อน

วิกฤติร้อนระอุ! กรุงเทพฯ อุณหภูมิพุ่งสูง กระทบเศรษฐกิจมหาศาล แรงงานสูญรายได้ปีละ 4.4 หมื่นล้าน ตายจากฮีทสโตรกกว่า 2,300 คน ค่าไฟพุ่งกระฉูด เร่งหาทางดับร้อน
KEY
POINTS
- กรุงเทพฯ ร้อนขึ้น: กระทบเศรษฐกิจ (แรงงานสูญเงิน) และสุขภาพ (คนตายเพิ่ม)
- เร่งแก้ปัญหา
เมลินดา กูด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าวในงาน เปิดตัวรายงานเรื่อง “พลิกโฉมกรุงเทพฯ ให้เย็นสบาย แก้ปัญหาความร้อนเพื่อมหานครที่น่าอยู่” จัดโดย 'ธนาคารโลก' ว่า กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับความท้าทายจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ รายงานล่าสุดจากความร่วมมือของหลายองค์กรระบุว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา อาจทำให้แรงงานกลางแจ้งสูญเสียผลผลิต 3.4% หรือคิดเป็นค่าจ้างที่หายไปกว่า 44,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังเพิ่มอัตราการเสียชีวิตจากความร้อนมากกว่า 2,300 คนต่อปี
นอกจากนี้ ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นถึง 17,000 ล้านบาทต่อปี และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น 30% ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เป็นผลกระทบสำคัญที่เมืองต้องเร่งแก้ไข ขณะที่กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ กำลังเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงขึ้น
เพื่อรับมือ กรุงเทพฯ กำลังพัฒนาแผนปฏิบัติการด้านความร้อน ระบบแจ้งเตือนระดับความร้อน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ การประชุมธนาคารโลกและ IMF ในปี 2569 ซึ่งจะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ จะเป็นเวทีสำคัญในการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความยืดหยุ่นของเมืองต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กรุงเทพฯ มุ่งสู่การเป็นเมืองที่เย็นขึ้น ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
ซึ่งการปรับตัวเพื่อรับมือกับความร้อนในเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุด เมืองหลวงของไทยต้องดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน
พัฒนาสิ่งแวดล้อมเมือง เพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มคุณภาพชีวิต
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวว่ากรุงเทพมหานคร กล่าวว่าความพยายามลดอุณหภูมิในเมือง มีการริเริ่มโครงการหลากหลายเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนผ่านสโลแกนและแคมเปญต่างๆ กรุงเทพฯ มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้เมืองเย็นขึ้นและน่าอยู่ขึ้น โดยใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โครงการปลูกต้นไม้ 1,000 ต้น เสริมพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ
หนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้รับการอนุมัติคือการปลูกต้นไม้ 1,000 ต้นในวันแรกของการดำเนินการ โดยมีเป้าหมายสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความร่มรื่นในเมือง โครงการนี้ใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 10 เดือน และคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดมลพิษทางอากาศ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของประชาชนมากขึ้น
ติดตามความคืบหน้าและวางแผนสู่อนาคต
หลังจากเริ่มดำเนินโครงการมาเป็นเวลา 2 ปี 10 เดือน การติดตามผลและการประเมินอุปสรรคที่พบเป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ต่อไป กรุงเทพฯ กำลังเร่งผลักดันเป้าหมายให้เป็นจริงตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ความร่วมมือเพื่ออนาคตเมืองที่ดีขึ้น
การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยมีการอัปเดตระบบและกระบวนการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาเมืองมีความยั่งยืนและสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรุงเทพฯ กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเมืองที่ร่มรื่น เย็นขึ้น และน่าอยู่ขึ้น ด้วยความร่วมมือและความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เมืองหลวงของไทยกำลังก้าวไปสู่อนาคตที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ความร่วมมือระดับโลก รับมือความร้อนในเมือง
ดร. สตีเวน รูบินี การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติอาวุโส ผู้เชี่ยวชาญ ธนาคารโลกอุณหภูมิพุ่งสูง กล่าวว่า ความร้อนนั้นกระทบทุกภาคส่วน กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับปัญหาความร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 30.5 องศา เกือบ 250 วันต่อปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การทำงานของแรงงานกลางแจ้ง และคุณภาพชีวิตโดยรวม การศึกษาล่าสุดชี้ว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่า 2,300 คนต่อปี และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจมากถึง 44 พันล้านบาท
เพื่อรับมือกับปัญหานี้ กรุงเทพฯ ได้ร่วมมือกับธนาคารโลก สิงคโปร์ และองค์กรระหว่างประเทศในการพัฒนาโครงการ "ธนาคารคูลเลอร์" ซึ่งเน้นกลยุทธ์ปรับตัว เช่น การปลูกต้นไม้ 1,000 ต้นในวันแรกของโครงการ และการใช้แบบจำลองข้อมูลสภาพอากาศเพื่อลดจุดร้อนในเมือง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ สวนฝน และวัสดุสะท้อนความร้อน
ผลกระทบเศรษฐกิจและพลังงาน ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง
ความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนใช้พลังงานมากขึ้น โดยค่าไฟในครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้นถึง 450 บาทต่อเดือน และการใช้พลังงานจากการทำความเย็นเพียงอย่างเดียวปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 2 ล้านตันคาร์บอน ต่อปี ส่งผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและต้นทุนชีวิต
มาตรการบรรเทาผลกระทบและแผนระยะยาว
ภาครัฐเร่งผลักดันมาตรการปรับตัว เช่น การกำหนดเขตพื้นที่เสี่ยง การสร้างศูนย์ทำความเย็น และปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับคลื่นความร้อน รวมถึงออกมาตรการคุ้มครองแรงงานกลางแจ้ง เช่น การกำหนดเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นในช่วงอากาศร้อนจัด
การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ปัญหาความร้อนในกรุงเทพฯ ต้องการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยต้องอาศัยงบประมาณที่ยั่งยืนและการบูรณาการมาตรการลดความร้อนเข้ากับแผนพัฒนาเมือง เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต