เกาะติดแผ่นดินไหว 'เมียนมา' สะเทือนไทย มีโอกาสหนักกว่านี้ไหม?

เกาะติดแผ่นดินไหว 'เมียนมา' สะเทือนไทย มีโอกาสหนักกว่านี้ไหม?

บทความนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการศึกษาและเข้าใจปัจจัยทางธรณีวิทยา รวมถึงการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ.

KEY

POINTS

  • แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault)
  • แผ่นดินไหวเมื่อวานนี้ (28 มีนาคม 2568) อาจเกี่ยวข้องกับรอบการเคลื่อนตัวที่รุนแรงในช่วง 100 ปี
  • แรงสั่นสะเทือนในลักษณะ "เรโซแนนซ์" โดยเฉพาะต่ออาคารที่มีความสูงเกินกว่า 30 เมตร

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้รับการบันทึกว่าเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าหนึ่งศตวรรษ ด้วยขนาดที่ปรับเพิ่มเป็น 8.2 ริกเตอร์ ตามการรายงานล่าสุดของ USGS โดยมีความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนกระจายออกไปในวงกว้าง รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร

รายการ DEEP Talk ของ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ จึงได้เรียนเชิญ ดร. กนก อินทรวิจิตร นายกสมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย มาอธิบายเกี่ยวกับกิจกรรมทางแผ่นดินไหวที่เชื่อมโยงกับรอยเลื่อนสะกาย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของรอยเลื่อนนี้และเหตุผลที่ทำให้แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ดร. กนก ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยอย่างรอบด้าน

ผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร

ดร. กนก ชี้ว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) เป็นรอยเลื่อนที่มีการเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในช่วง 20-30 ปี และการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ทุกๆ 100 ปี โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับรอบการเคลื่อนตัวที่รุนแรงในช่วง 100 ปี

คลื่นความถี่ต่ำที่เกิดจากแผ่นดินไหวเดินทางไกลจากเมียนมาเข้าสู่แอ่งตะกอนกรุงเทพฯ ซึ่งมีชั้นดินอ่อนลึก รวมถึงดินเหนียวกรุงเทพฯ ทำให้เกิดการขยายและเพิ่มแรงสั่นสะเทือนในลักษณะ "เรโซแนนซ์" โดยเฉพาะต่ออาคารที่มีความสูงเกินกว่า 30 เมตร ผลกระทบนี้ส่งผลให้หลายพื้นที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน

สถานการณ์ในเมียนมา

จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ในเมียนมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างต่างๆ รวมถึงสะพานอังวะที่ข้ามแม่น้ำอิรวดี ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ที่ถูกทำลายจนกลายเป็นชิ้นๆ นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือนในพื้นที่ใกล้เคียงพังถล่มจำนวนมาก สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ศูนย์กลาง
รอยเลื่อนสะกายและโอกาสเกิดเหตุการณ์ในอนาคต

ไทยมีโอกาสเจอเหตุการณ์รุนแรงกว่านี้หรือไม่?

แม้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทยโดยตรง แต่กรุงเทพมหานครซึ่งตั้งอยู่บนแอ่งตะกอนยังคงมีความเสี่ยงต่อแรงสั่นสะเทือนจากคลื่นความถี่ต่ำที่ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน การเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและการรับมือภัยพิบัติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมต่อภัยพิบัติในอนาคต

ดร.กนก อธิบายว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีรอยเลื่อนที่ยังมีพลังอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะทางภาคตะวันตกและภาคเหนือ แต่ประวัติการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่เหล่านี้ไม่เคยมีขนาดเกิน 7 ริกเตอร์ อย่างไรก็ตาม รอยเลื่อนสะกายในเมียนมาเป็นรอยเลื่อนที่สร้างความกังวลมากที่สุด เนื่องจากสามารถส่งคลื่นไหวสะเทือนความถี่ต่ำระยะไกลมาถึงแอ่งตะกอนกรุงเทพฯ ได้

การเตือนภัยและเทคโนโลยี

เทคโนโลยีและความรู้ในปัจจุบันยังไม่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ ประเทศไทยไม่ได้อยู่บนรอยเลื่อนขนาดใหญ่เหมือนประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ทันสมัย ดังนั้น การแจ้งเตือนในประเทศไทยมักเกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ศูนย์กลางแล้ว

อาฟเตอร์ช็อก

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวหลักที่มีขนาด 8.2 ริกเตอร์ ยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา ซึ่งครั้งแรกมีขนาด 6.4 และเกิดขึ้นประมาณ 30 นาทีหลังจากแผ่นดินไหวหลัก โดยอาฟเตอร์ช็อกเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงในช่วงหลายวันหรือหลายสัปดาห์

ความปลอดภัยของอาคารในกรุงเทพฯ

ดร.กนก ชี้ว่า อาคารที่สร้างขึ้นในกรุงเทพฯ หลังการออกกฎหมายควบคุมอาคารและปรับปรุงมาตรฐาน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550 ที่มีการกำหนดมาตรฐานการออกแบบที่ทนทานต่อแผ่นดินไหว ถือว่ามีความสามารถในการรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ความเสียหายที่เห็นได้ในกรุงเทพฯ

ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของการแตกร้าวของผนังหรือแผ่นวัสดุที่หลุดออก แต่ไม่ถึงขั้นโครงสร้างอาคารถล่ม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ยังจำเป็นต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้

จุดอ่อนของทางเดินลอยฟ้า

หนึ่งในจุดที่เปราะบาง คือทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างอาคาร ซึ่งอาจเกิดการเคลื่อนตัวแตกต่างกันในกรณีที่อาคารแต่ละแห่งมีการสั่นสะเทือนในรูปแบบที่ต่างกัน โดยเฉพาะบริเวณที่เชื่อมต่อในระดับที่สูงขึ้น

บทเรียนสำคัญ

เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยตรง สิ่งนี้ย้ำถึงความสำคัญของกฎหมายอาคารที่แข็งแกร่งและระบบแจ้งเตือนสาธารณะที่ควรปรับปรุง เช่น การแจ้งเตือนผ่าน SMS ที่สามารถส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วหลังเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ศูนย์กลาง

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติเพื่อรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ