เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ 'แผ่นดินไหว'

เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ 'แผ่นดินไหว'

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

KEY

POINTS

  • บูรณาการเทคโนโลยี พร้อมเร่งจัดงบฯ ดันวิจัยเชิงลึก
  • สร้างกลไกการตอบสนองที่รวดเร็ว
  • เร่งพัฒนาครอบคลุม 3 ด้าน : ระบบเตือนภัยในทุกมิติ, เสริมการจัดการภัยพิบัติ และสร้างความเข้มแข็งชุมชน  

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดเวทีเสวนา “ก้าวข้ามธรณีพิโรธ : นวัตกรรม ววน. พลิกเกมภัยแผ่นดินไหว เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของไทย” ถอดบทเรียนกรณีแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในประเทศเมียนมาที่สะเทือนถึงประเทศไทย 

รับมือภัยพิบัติ ด้วยแนวทาง 3 ด้าน

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า อว. ได้ระดมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานในสังกัด นำผลงานนวัตกรรมเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในระบบกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหว

เช่น ส่งทีมหุ่นยนต์ iRAP Robot ของ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และหุ่นยนต์ตรวจการณ์เก็บกู้วัตถุระเบิดขนาดเล็ก D-EMPIR V.4 ของ ม.เทคโนโลยีมหานคร เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย บริเวณอาคารที่ทำงานสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ถล่ม พร้อมตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือด้านการตรวจสอบอาคารและการแพทย์ (ศปก.อว.) มีการใช้ Traffy Fondue ให้ประชาชนแจ้งเหตุ เพื่อส่งทีมเข้าประเมินความเสี่ยงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ GISTDA ได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ \'แผ่นดินไหว\'

“อว. สั่งการหน่วยงานในสังกัดเร่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ครอบคลุม 3 ด้านหลัก

1. “พัฒนาระบบเตือนภัยในทุกมิติ” แผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม ภัยแล้ง พร้อมระบบข้อมูลและการสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึง

2. “เสริมการจัดการภัยพิบัติ” สนับสนุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการจัดการภัยพิบัติและส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวางแผนในพื้นที่

3.“สร้างความเข้มแข็งชุมชน” ส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกอบรมให้ประชาชนมีความรู้และทักษะในการรับมือ และสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน”

เปิดแผนงาน (P16) สู้ภัยพิบัติ

ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า นโยบายการจัดสรรงบประมาณวิจัยเพื่อรองรับภัยพิบัติ โดยมีแผนงาน (P16) ลดความเสี่ยง และผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้กองทุน ววน. แบ่งเป็น 2 ภาคส่วน คือ ภาคการเกษตร แลภาคเมืองและอุตสาหกรรม รวมถึงมีแผนงาน (P24) แก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ 

ทั้งนี้ สกสว. หนุนการวิจัย เน้นนำ กองทุน ววน. ใช้รับมือภัยพิบัติ ดังนี้ จัดสรรงบประมาณวิจัย แก้ไขปัญหาวิกฤต, ร่วมกับ สอวช. ทบทวนและยกระดับแผนด้าน ววน. ตอบโจทย์ปัญหาท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม, นำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม บริหารจัดการสาธารณภัย, สร้างความตระหนักรู้ การป้องกัน และการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในทุกระดับ และขับเคลื่อนบทบาทของ อว. และ สกสว. ให้เป็นกลไกลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ \'แผ่นดินไหว\'

ที่ผ่านมา กองทุน ววน. ได้มีการจัดสรรงบประมาณวิจัยและนวัตกรรม เพื่อดำเนินการในแผนงานสำคัญด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการบริหารจัดการภัยทางธรรมชาติแบบบูรณาการ อาทิ

“InSpectra-01” เทคโนโลยีที่นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการตรวจจับและวัดขนาดรอยร้าวในโครงสร้างอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุนในการตรวจสอบ โดย รศ.ดร.พรหมพัฒน ธัญสิริชัยศรีศูนย์วิจัยตรวจสอบโครงสร้างและเฝ้าระวัง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวราคาประหยัด” เซนเซอร์ตรวจวัดอาคารเป็นอุปกรณ์ที่วัดค่าความเร่ง สามารถวัดค่าความสั่นสะเทือนและแจ้งเตือนผ่านเซนเซอร์นี้ โดยลดต้นทุนการนำเข้าจากหลักแสน เหลือเพียงหลักหมื่นบาท ทำให้ “ผู้ใช้” ซึ่งเป็นวิศวกรดูแลอาคาร และผู้บริหารโรงพยาบาลตัดสินใจความปลอดภัยของอาคารได้หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดย รศ.ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา

“หุ่นตรวจการและเก็บกู้วัตถุระเบิด รุ่น D-EMPIR V.4” ถูกออกแบบสำหรับการปฏิบัติงานเก็บกู้วัตถุระเบิด และสามารถซ่อมบำรุงได้ง่ายเมื่อเกิดความเสียหาย โดยในช่วงสถานการณ์วิกฤตหุ่นยนต์ D-EMPIR V.4 ได้ถูกนำมาลงพื้นที่เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ณ ถ.กำแพงเพชร เขตจตุจักร กทม. ที่มีผู้บาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยหุ่นยนต์มีขนาดเล็ก มีความคล่องตัวสูง มีการติดตั้งแขนกลพิเศษ สามารถเข้าพื้นที่แคบได้โดยใช้แขนกลหยิบจับสิ่งของและปีนป่ายทางต่างระดับได้อย่างคล่องตัว โดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI)

“แพลตฟอร์ม Traffy Fondue” เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ถูกพัฒนาเพื่อรองรับการแจ้งเหตุและบริหารจัดการปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งปัญหาและร้องขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ ช่วยให้ข้อมูลถูกส่งตรงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ลดระยะเวลาในการประสานงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการภัยพิบัติแผ่นดินไหวให้กับประชาชน โดยปัจจุบันมีการแจ้งข้อมูลกว่า 5,000 กรณี โดย ห้องปฏิบัติการระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ \'แผ่นดินไหว\'

ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในไทย

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวในหัวข้อ "ธรณีวิทยาและความเสี่ยงของแผ่นดินไหวในประเทศไทย" โดยเน้นย้ำถึงการขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวและแนวทางการเตรียมพร้อมรับมือ

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายร้ายแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพดินอ่อน ซึ่งสามารถขยายแรงสั่นสะเทือนให้รุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ผลกระทบเลวร้ายกว่าปกติ พื้นที่ที่อยู่อาศัยถือเป็นโซนอันตรายที่สุดต่อการขยายแรงสั่นสะเทือน เนื่องจากอาคารสูงและโครงสร้างบางส่วนอาจไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงแผ่นดินไหวที่เพิ่มขึ้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจนถึงผลกระทบดังกล่าว

หลังแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อกมักเกิดตามมา โดยแรงสั่นสะเทือนจะลดลงตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม การขาดความระมัดระวังอาจนำไปสู่ความเสียหายเพิ่มเติม การเตรียมพร้อมรับมืออาฟเตอร์ช็อกจึงเป็นสิ่งสำคัญ อาคารควรถูกออกแบบให้แข็งแรงและปลอดภัย รวมถึงต้องคำนึงถึงส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง เช่น เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ติดตั้งภายใน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ประเทศไทยมีรอยเลื่อนหลายแห่งที่อาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงได้ งานวิจัยล่าสุดพบว่ารอยเลื่อนในจังหวัดกาญจนบุรีมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทีมวิจัยยังคงดำเนินการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินความเสี่ยงและพัฒนาแนวทางลดผลกระทบจากเหตุการณ์ในอนาคต

นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว ปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินก็เป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีการทรุดตัวของพื้นดินอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งคำถามถึงความพร้อมของงานวิจัยและนวัตกรรมในการป้องกัน รวมถึงมาตรฐานทางวิศวกรรมที่สามารถนำมาใช้ในการออกแบบโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพในการรับมือ

งานวิจัยด้านแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติในประเทศไทยดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 20 ปี ด้วยการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยให้สามารถศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงของภัยพิบัติได้อย่างลึกซึ้ง ความรู้นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดการเตรียมพร้อมที่ดียิ่งขึ้น แต่ยังนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความสูญเสีย และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมโดยรวม

เปิดยุทธศาสตร์สู้ภัยพิบัติ อว.ดึงเทคโนโลยีรับมือ \'แผ่นดินไหว\'

รับมือแผ่นดินไหว

ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ "การออกแบบอาคารและโครงสร้างเพื่อรับมือแผ่นดินไหว" โดยเล่าประสบการณ์แผ่นดินไหวที่เชียงรายและผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเชียงรายสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนในพื้นที่ หนึ่งในผู้เล่าประสบการณ์ขณะเกิดเหตุอยู่ในอาคารเดียวกับผู้บรรยาย และกำลังประชุมกัน เมื่อแรงสั่นสะเทือนเริ่มขึ้น พวกเขาตัดสินใจหลบอยู่ใต้โต๊ะจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ แรงสั่นสะเทือนครั้งนั้นรุนแรงมาก แม้แต่ผู้ที่เคยอาศัยในญี่ปุ่นนานถึง 5 ปี ยังไม่เคยเจอแผ่นดินไหวที่หนักหน่วงเช่นนี้

หลังเหตุการณ์สิ้นสุด การตรวจสอบความเสียหายของอาคารกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน โครงสร้างอาคารถูกพิจารณาอย่างละเอียดโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งตรวจสอบจุดสำคัญต่าง ๆ เช่น มุมอาคาร รอยแตกร้าว และเสาที่อาจได้รับผลกระทบ ทั้งยังพบร่องรอยผิดปกติที่ต่างจากรอยเลื่อนปกติของแผ่นดินไหว ซึ่งต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกเพิ่มเติม

ทีมวิศวกรกว่า 500 คน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคาร 2 แห่ง รวมถึงอาคารของธนาคารแห่งประเทศไทยในเชียงราย พบว่าความเสียหายส่วนใหญ่เกิดเป็นรอยร้าวที่ผนัง โดยจำแนกเป็น 4 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 2: รอยร้าวไม่รุนแรง ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้าง
  • ระดับ 4: รอยร้าวรุนแรงถึงแกนเสา จำเป็นต้องระงับการใช้งานอาคาร

บางกรณีพบอาคารพังทลายที่ยังคงเป็นปริศนา ทีมวิศวกรสันนิษฐานว่าการซ่อมแซมที่ไม่ถูกต้องก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาจเป็นสาเหตุสำคัญ รวมถึงการใช้วัสดุคุณภาพต่ำ เช่น เหล็กที่ไม่เหนียวพอ เพิ่มความเสี่ยงต่อการพังทลาย นอกจากนี้ การก่อสร้างบางแห่งมีการออกแบบไม่สมดุล เช่น เสาชั้นล่างและชั้นบนที่มีความสูงแตกต่าง ทำให้อาคารเกิดการเคลื่อนตัวผิดปกติ

อาคารบางแห่งพบรอยแตกร้าวถึง 1,000 จุด หากไม่มีการซ่อมแซมที่เหมาะสม น้ำหนักอาคารอาจทำให้รอยร้าวขยายตัวจนเกิดความเสียหายรุนแรง ทีมวิศวกรเสนอแนวทางการซ่อมแซม 4 ระดับ โดยอ้างอิงกรณีศึกษาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เชียงรายในปี 2557 พร้อมกับพัฒนาแบบจำลองช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งสามารถตรวจสอบความเสียหายและเบิกจ่ายค่าเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความร่วมมือจากวิศวกรกว่า 582 คน ตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นภายใน 1 วัน

ความกังวลเกี่ยวกับอาคารได้รับการแก้ไขผ่านการพัฒนาแบบฟอร์มตรวจสอบความเสียหาย ที่ปรับใช้จากแบบฟอร์มน้ำท่วมเชียงราย พร้อมอบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบให้แม่นยำและรวดเร็ว เช็คลิสต์การตรวจสอบแบ่งตามระดับความรุนแรงของผลกระทบ เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เชียงรายไม่เพียงเป็นบทเรียนสำคัญในการออกแบบอาคารให้ปลอดภัย แต่ยังช่วยพัฒนาเครื่องมือและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างยั่งยืน

เทคโนโลยีเตือนภัย

รศ.ดร.รีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในหัวข้อ "เทคโนโลยีเตือนภัยแผ่นดินไหวและการพัฒนาโดยนักวิจัยไทย" โดยชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าและโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมการเตือนภัยในประเทศไทย

ประเทศไทยเผชิญกับภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม และอัคคีภัย ทำให้การพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิจัยไทยได้แสดงบทบาทสำคัญในพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยที่ทันสมัยและต้นทุนต่ำ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่น คือ เซ็นเซอร์ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนราคาประหยัด ซึ่งทีมวิจัยไทยได้พัฒนาขึ้นเอง โดยมีราคาถูกกว่าการนำเข้าอุปกรณ์ที่เคยสูงถึง 300,000 บาท เซ็นเซอร์เหล่านี้ถูกติดตั้งในโรงพยาบาลภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการเตือนภัยด้วยต้นทุนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา ระบบตรวจสอบอาคารอัจฉริยะ ซึ่งลดต้นทุนการผลิตลงเหลือเพียงหลักหมื่นบาท ระบบนี้ติดตั้งในโรงพยาบาล 2 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ทำหน้าที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวของอาคารและแจ้งเตือนเหตุภัย เช่น เพลิงไหม้หรือแผ่นดินไหวขนาด 4.2 ริกเตอร์ ได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบเรียลไทม์

เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ระบบแจ้งเตือนอาคารผ่าน SMS ได้ถูกพัฒนาขึ้น ใช้การตรวจจับแรงสั่นสะเทือนและส่งข้อความแจ้งเตือนถึงวิศวกรแบบเรียลไทม์ อย่างไรก็ตาม ระบบยังต้องการการปรับปรุงเพื่อลดการแจ้งเตือนที่เกิดขึ้นถี่เกินไปและอาจไม่ตรงกับเหตุการณ์จริง

ระบบตอบสนองต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว คืออีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญ โดยสามารถประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ได้ภายในเวลา 20 นาที หลังจากการติดตั้งและใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ระบบแสดงผลลัพธ์ที่มีความรวดเร็ว แม่นยำ และทนต่อแรงสั่นสะเทือนสูงสุดถึงระดับ 7.7 ริกเตอร์

ด้านการวิเคราะห์ความเสียหาย ระบบประเมินความเสียหายของอาคาร ได้ถูกออกแบบให้แสดงระดับความเสียหายด้วยสี เช่น สีเขียว (ปลอดภัย), สีเหลือง (ต้องตรวจสอบ), สีส้ม (เสียหายบางส่วน), และสีแดง (เสียหายรุนแรง อาจต้องอพยพ) โดยใช้เซ็นเซอร์และภาพวิดีโอร่วมกันเพื่อตรวจจับจุดที่ได้รับผลกระทบ

แนวทางตรวจสอบความเสียหาย ถูกปรับใช้ในเคสตัวอย่าง เช่น โรงพยาบาลเชียงรายที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ 12 ตัว แม้ว่าค่าสเปกตรัมของระบบจะแตกต่างจากค่าจริงในบางส่วน แต่ระบบโดยรวมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันสถานการณ์วิกฤต

สุดท้าย เทคโนโลยีตรวจสอบอาคารหลังแผ่นดินไหวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย ช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญ นวัตกรรมเหล่านี้ได้รับการติดตั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ แสดงถึงศักยภาพของไทยในการพัฒนาระบบเตือนภัยที่ล้ำสมัย เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ