เทคนิคใหม่โปรย 'น้ำแข็งแห้ง' ลดพิษภัยหมอกควันสู้ศึกฝุ่น PM2.5

นวัตกรรมใหม่! "โปรยน้ำแข็งแห้ง" ลดหมอกควัน-สู้ฝุ่น PM2.5 เปิดภารกิจกรมฝนหลวงฯ ปรับสภาพอากาศ ลดผลกระทบประชาชนภาคเหนือ
KEY
POINTS
- เทคนิคใหม่: โปรยน้ำแข็งแห้ง ลดฝุ่น PM2.5
- ลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศ: น้ำแข็งแห้งระเหิด ดูดความร้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
- เปิดช่องระบายฝุ่น: กระแสลมช่วยพาฝุ่น PM2.5 ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากา
อิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาวิกฤตหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่กำลังคุกคามภาคเหนือ
ปัญหาไฟป่าและการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะช่วงเดือน มี.ค.และ เม.ย. ส่งผลให้เกิดหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 หนาแน่น สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างหนัก จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้ติดตามการปฏิบัติการ "โปรยน้ำแข็งแห้ง" แนวทางใหม่ที่กรมฝนหลวงฯ ริเริ่มขึ้น เพื่อลดความเข้มข้นของ ฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศ โดยน้ำแข็งแห้งจะช่วยลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ ทำให้ฝุ่น PM2.5 ลอยขึ้นสู่ที่สูงได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ปริมาณฝุ่นใกล้พื้นดินลดลงและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้
"ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การโปรยน้ำแข็งแห้งเป็นหนึ่งในมาตรการที่เรานำมาใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แม้ว่าจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น"
นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ยุติการเผาตอซังและวัชพืช เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ
การโปรยน้ำแข็งแห้ง
ราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า การโปรยน้ำแข็งแห้งเป็นหนึ่งในเทคนิคการดัดแปรสภาพอากาศที่นำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยมีหลักการทำงานดังนี้
ลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศ: น้ำแข็งแห้งเมื่อระเหิดจะดูดความร้อนจากสภาพแวดล้อม ทำให้บริเวณโดยรอบมีอุณหภูมิลดลง
การลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศโดยเฉพาะชั้นอุณหภูมิผกผัน (Temperature inversion) จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
เปิดช่องระบายฝุ่น: เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง จะเกิดการเคลื่อนที่ของอากาศ ทำให้ฝุ่นละออง PM2.5 ที่ลอยอยู่ในระดับต่ำสามารถลอยตัวขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้นได้
การเปิดช่องระบายนี้จะช่วยลดความหนาแน่นของ ฝุ่น PM2.5 ในระดับพื้นดิน ทำให้อากาศในบริเวณนั้นดีขึ้น
นอกจากนี้ยังได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมแปลงเรียนรู้การเกษตรแปลงใหญ่ไม้ผล (ลำไย) ที่จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยแล้ง โดยมีพื้นที่ปลูกลำไยที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง 13,225 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 362,229 ไร่ คิดเป็น 3.65% และพื้นที่ปลูกมะม่วงที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง 3,955 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 40,206 ไร่ คิดเป็น 9.84% ซึ่งกรมฝนหลวงฯ มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ เพื่อสนับสนุนการเกษตรและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งปัญหาภัยแล้งเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของประชาชน การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยแนวทางที่สำคัญประกอบด้วยการทำฝนหลวง การจัดการเมฆและหมอก การเก็บกักน้ำฝน การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน
การทำฝนหลวง
เป็นเทคนิคการดัดแปรสภาพอากาศที่ใช้เครื่องบินโปรยสารเคมี เช่น ซิลเวอร์ไอโอไดด์หรือน้ำแข็งแห้ง เข้าไปในเมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดฝนตก วิธีนี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ที่ต้องการ โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ในประเทศไทย กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจนี้
การจัดการเมฆและหมอก
เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้การคาดการณ์ฝนแม่นยำขึ้น โดยอาศัยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเมฆและหมอกอย่างละเอียด ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเรดาร์และดาวเทียมเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของเมฆและประเมินปริมาณน้ำในเมฆ นอกจากนี้ การพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ยังช่วยให้สามารถจำลองสภาพอากาศและคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเก็บกักน้ำฝน
เป็นมาตรการสำคัญในการจัดการทรัพยากรน้ำในระยะยาว การสร้างอ่างเก็บน้ำและเขื่อนเป็นวิธีการหลักที่ช่วยกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง นอกจากนี้ การส่งเสริมการทำฝายและแก้มลิงยังช่วยชะลอน้ำและเพิ่มการซึมลงสู่ดิน ขณะเดียวกัน ระบบเก็บกักน้ำฝนในระดับครัวเรือนและชุมชนก็เป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งน้ำจากภายนอก
การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การวางแผนการใช้น้ำอย่างรอบคอบและเหมาะสมกับปริมาณน้ำที่มีอยู่เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และครัวเรือน นอกจากนี้ การบำบัดน้ำเสียและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการลดการสูญเสียน้ำในระบบชลประทาน ล้วนเป็นมาตรการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การสร้างความตระหนักรู้
เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้งและการใช้น้ำอย่างประหยัดเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถรับมือกับภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น
การดำเนินมาตรการเหล่านี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบจากภัยแล้ง และสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่ออนาคต