‘ชนชั้นกลาง’ ยากจนลง 40% หากอุณหภูมิพิ่มขึ้น 4°C กระทบเศรษฐกิจโลก

‘ชนชั้นกลาง’ ยากจนลง 40% หากอุณหภูมิพิ่มขึ้น 4°C กระทบเศรษฐกิจโลก

ผลการศึกษาใหม่เผย “ชนชั้นกลาง” จะยากจนลง 40% หากโลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส เกิดภาวะเงินเฟ้อ กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก

KEY

POINTS

  • งานวิจัยใหม่ระบุว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้ “ชนชั้นกลาง” ซึ่งเป็นฐานะส่วนใหญ่ของคนทั่วไปมีรายได้ลดลง 40%
  • ปริมาณที่เหมาะสมของภาวะโลกร้อนซึ่งสมดุลระหว่างต้นทุนในระยะสั้นกับผลประโยชน์ในระยะยาวคือ 1.7 องศาเซลเซียส 
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากภาวะโลกร้อนมีขนาดใหญ่จ

ดูเหมือนแบบจำลองเศรษฐกิจที่ใช้ประเมินผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่ใช้กันอยู่นี้จะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะงานวิจัยใหม่เผยว่า ภาวะโลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียสจะทำให้คนทั่วไปยากจนลง 40% ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าจากการประมาณการบางกรณี

ตามการศึกษาวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters พบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ยต่อคนทั่วโลกจะลดลง 16% ต่อให้จะสามารถควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนยอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนมากที่อยู่ที่ 1.4%

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2.1 องศาเซลเซียส แม้ว่าประเทศต่าง ๆ จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในระยะสั้นและระยะยาวก็ตาม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่า “แบบจำลองการประเมินแบบบูรณาการ” (IAM) ซึ่งเป็นเครื่องมือเศรษฐกิจที่ใช้เป็นแนวทางว่ารัฐบาลควรลงทุนเท่าใดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่สามารถระบุความเสี่ยงที่สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายได้

การศึกษานี้ได้แก้ปัญหาดังกล่าว โดยนำแบบจำลองทางเศรษฐกิจมาปรับปรุงด้วยการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อจับภาพผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก พร้อมพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศหลายคนมองว่าเป็นหายนะต่อโลก 

พบว่าภาวะโลกร้อนจะทำให้ “ชนชั้นกลาง” ซึ่งเป็นฐานะส่วนใหญ่ของคนทั่วไปมีรายได้ลดลง 40% ต่างจากแบบจำลองเดิมที่คาดการว่าจะมีรายได้ลดลงประมาณ 11%

สภาพอากาศแปรปรวนทุกที่พร้อม ๆ กัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือความเสียหายจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ภัยแล้งอาจทำให้ผลผลิตลดลง ขณะที่พายุและน้ำท่วมอาจทำให้เกิดผลเสียในวงกว้างและขัดขวางการจัดหาสินค้า การวิจัยล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่าคลื่นความร้อนซึ่งรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนทำให้เกิด “ภาวะเงินเฟ้อด้านอาหาร

ความร้อนยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ การแพร่กระจายของโรค และอาจทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานและความขัดแย้งเป็นจำนวนมาก

ดร. ทิโมธี นีล จากสถาบันความเสี่ยงและการตอบสนองต่อสภาพอากาศของมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ และผู้เขียนหลักของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่าสาเหตุที่ตัวเลขแตกต่างกันขนาดนี้ เป็นเพราะแบบจำลองเศรษฐกิจที่ใช้กันอยู่มักจะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในระดับประเทศเท่านั้น ไม่ได้นึกถึงผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วมในประเทศหนึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายอาหารในอีกประเทศหนึ่ง 

“ในอนาคตที่อากาศร้อนกว่านี้ เราคาดว่าจะเกิดการหยุดชะงักของซัพพลายเชน และกระทบกันเป็นลูกโซ่อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่รุนแรงทั่วโลก” นีลกล่าว

ขณะที่ ศ.แอนดี้ พิตแมน นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศแห่งมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์และผู้เขียนร่วมของงานวิจัยกล่าวว่า การปรับโมเดลเศรษฐกิจใหม่เพื่อรับมือสภาพอากาศสุดขั้ว และคำนึงถึงผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานถือเป็นเรื่องเร่งด่วนมากที่ต้องทำ เพราะจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถรับมือกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเต็มที่ 

แบบจำลองแบบเก่ามีการชดเชยความเสียหายจากโลกร้อนด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ในอดีต อเมริกาใต้ประสบภัยแล้ง แต่ส่วนอื่นๆ ของโลกมีฝนตกชุก ดังนั้น อเมริกาใต้จึงสามารถพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากประเทศอื่นเพื่อชดเชยการขาดแคลนในประเทศและป้องกันราคาอาหารที่พุ่งสูง

แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในอนาคตจะเพิ่มความเสี่ยงที่สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงพร้อมกันในหลายประเทศและต่อเนื่องมากขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะรบกวนเครือข่ายการผลิตและจัดส่งสินค้า กระทบต่อการค้า และจำกัดขอบเขตการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ

แบบจำลองก่อนหน้านี้ระบุว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคหนาวเย็นของโลก เช่น รัสเซียและยุโรปตอนเหนือ จะได้รับประโยชน์จากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น แต่แบบจำลองของนีลพบว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีขนาดใหญ่จนทุกประเทศได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

สอดคล้องกับ รายงานในเดือนมกราคมจากสถาบันและคณะนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งเป็นตัวแทนของวิชาชีพที่สนับสนุนการตัดสินใจจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยและกองทุนบำเหน็จบำนาญทั่วโลก ระบุว่า การประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ไม่สามารถคำนึงถึงผลกระทบด้านภูมิอากาศในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น จุดพลิกผันทางสภาพอากาศ เหตุการณ์รุนแรง การอพยพ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

“เมื่อเห็นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงนัก อาจยิ่งตอกย้ำแนวคิดที่ว่าความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นช้าและมีผลกระทบจำกัด ไม่ใช่เป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่ต้องดำเนินการทันที” รายงานระบุ

นอกจากนี้ การลดการปล่อยมลพิษนำไปสู่ต้นทุนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งจะต้องสมดุลกับผลประโยชน์ในระยะยาวจากการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นอันตราย โดยแบบจำลองทางเศรษฐกิจจากการศึกษาใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่าความสมดุลนี้จะเกิดขึ้นได้จากการลดการปล่อยมลพิษในอัตราที่ทำให้โลกร้อนขึ้น 2.7 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับแนวโน้มโลกร้อนในปัจจุบัน แต่สูงกว่าเป้าหมายของข้อตกลงปารีสและขีดจำกัดภาวะโลกร้อนที่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศแนะนำ

แต่หากคำนึงถึงข้อตกลงปารีสด้วย แบบจำลองพบว่าปริมาณที่เหมาะสมของภาวะโลกร้อนซึ่งสมดุลระหว่างต้นทุนในระยะสั้นกับผลประโยชน์ในระยะยาวคือ 1.7 องศาเซลเซียส 

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกในปัจจุบันนั้นเสี่ยงต่ออนาคตของมวลมนุษยชาติ หากมนุษย์เข้าใจถึงหายนะที่ขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เร็วเท่าไร ก็จะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงได้เร็วเท่านั้น


ที่มา: PhysThe ConversationThe Guardian