ปี 2568 ร้อนสุดขั้ว สถิติโลกใหม่ 'สภาพอากาศแปรปรวน' 151 ครั้ง

ปี 2568 ร้อนสุดขั้ว สถิติโลกใหม่ 'สภาพอากาศแปรปรวน' 151 ครั้ง

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) รายงานว่า ปี 2024 กลายเป็น ปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

KEY

POINTS

  • อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำลายสถิติเดิม
  • เกิด 151 เหตุการณ์สุดขั้ว เช่น พา

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) รายงานว่า ปี 2568 กลายเป็น ปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมบันทึกเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วถึง 151 เหตุการณ์ ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น

อุณหภูมิพุ่งสูงสุด ทุบสถิติเดิมต่อเนื่อง

รายงานจาก WMO ระบุว่า ช่วง 14 เดือนติดต่อกันจนถึง ก.ค. 2568 ล้วนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ นับเป็นแนวโน้มที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยในบางพื้นที่ อุณหภูมิพุ่งสูงจนแตะ 49.9 องศา ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า สภาพอากาศร้อนขึ้นเป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซมีเทน (CH₄) ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น

เหตุการณ์สุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้โลกเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น โดยมี 151 เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในปีนี้ ได้แก่

  • พายุเฮอริเคนและพายุไต้ฝุ่นความรุนแรงสูง พัดถล่มสหรัฐฯ เอเชีย และแปซิฟิก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและความเสียหายเป็นวงกว้าง
  • ไฟป่าครั้งใหญ่ ในอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย เผาผลาญพื้นที่หลายล้านไร่ ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ
  • ภัยแล้งรุนแรงในหลายประเทศ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ
  • คลื่นความร้อนที่คร่าชีวิตประชาชน โดยเฉพาะในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อมรองรับสภาพอากาศร้อนจัด

ภาวะโลกร้อนมีผลต่อแผ่นดินไหวอย่างไร?

แม้ภาวะโลกร้อนจะไม่ใช่สาเหตุหลักของแผ่นดินไหว แต่การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและสมดุลของโลกที่เกิดจากโลกร้อน อาจกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ได้ในหลายกรณี

การละลายของธารน้ำแข็งและน้ำแข็งขั้วโลก (Glacial Isostatic Adjustment)

ธารน้ำแข็งที่ละลายอย่างรวดเร็วเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้น้ำหนักที่กดทับเปลือกโลกเบาลง เมื่อมวลน้ำแข็งหายไป แรงกดที่เคยถ่วงแผ่นเปลือกโลกก็ลดลง ทำให้เปลือกโลกที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งขยายตัวขึ้นมา (rebound effect)

ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น (Sea Level Rise) และน้ำหนักของมหาสมุทร

การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้น้ำหนักของมหาสมุทรเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจกดทับรอยเลื่อนใต้มหาสมุทร ทำให้เกิดแรงดันที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเล

การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำในแผ่นดิน (Hydro-Seismicity)

ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดฝนตกหนักขึ้นในบางพื้นที่ และภัยแล้งรุนแรงขึ้นในบางแห่งปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจากฝนตกหนัก สามารถซึมลงไปในรอยเลื่อนและเพิ่มแรงดันในเปลือกโลก ทำให้เกิดแผ่นดินไหวเล็กๆ หรือไปกระตุ้นรอยเลื่อนที่มีแรงเครียดสะสมอยู่

การละลายของก๊าซมีเทนใต้พื้นมหาสมุทร (Methane Hydrate Destabilization)

ใต้พื้นมหาสมุทรและชั้นดินเยือกแข็ง (permafrost) มี "ก๊าซมีเทนไฮเดรต" ซึ่งถูกกักอยู่ภายใต้ความดันสูง เมื่อน้ำแข็งละลายจากภาวะโลกร้อน ก๊าซมีเทนที่ติดอยู่สามารถหลุดออกมาและทำให้เกิดโพรงในชั้นเปลือกโลก ซึ่งการสูญเสียแรงกดจากน้ำแข็งและการปล่อยก๊าซมีเทน อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และอาจนำไปสู่แผ่นดินไหวใต้ทะเล

 

ผลกระทบต่อระบบนิเวศและโลก

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าตกใจที่สุดคือ การถล่มของแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ส่งผลกระทบต่อเมืองชายฝั่งทั่วโลก

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ เช่น

  1. แนวปะการังฟอกขาว เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น
  2. สัตว์ป่าหลายชนิดต้องอพยพ เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตในอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  3. การแพร่ระบาดของโรคเขตร้อน ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากยุงและสัตว์พาหะสามารถขยายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ที่เคยมีอากาศหนาว

ทางออกและแนวทางแก้ไขปัญหาโลกร้อน

นักวิทยาศาสตร์และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึง

  1.  ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเร่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
  2. ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าไม้ และฟื้นฟูระบบนิเวศเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
  3. พัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
  4. ปรับตัวต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้ดีขึ้น

คำเตือนสุดท้าย: ต้องลงมือก่อนจะสายเกินไป

WMO เตือนว่า "เรากำลังเห็นผลกระทบของภาวะโลกร้อนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และหากเราไม่ดำเนินมาตรการที่จริงจังในตอนนี้ อนาคตของโลกอาจอยู่ในภาวะวิกฤตที่ยากจะแก้ไข"

นี่เป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ที่ชี้ให้เห็นว่า ต้องเร่งลงมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ก่อนที่โลกจะเข้าสู่จุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ที่มา : WEF , NZGo , Scientificamerican , nasa