จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง-ตอซังข้าว หนุน“เกษตรกรฮีโร่ เลือกไม่เผา”

สำหรับกิจกรรม “ไม่เผา ๙๙” ส่งเสริมให้ชาวนาใช้จุลินทรีย์เป็นเครื่องมือย่อยสลายฟางและตอซังข้าว และฟื้นฟูคุณภาพดิน นำเสนอ 9 แปลงเกษตร
เพื่อสาธิตการใช้จุลินทรีย์สำหรับจัดการแปลงนาหลังการเก็บเกี่ยว และรับสมัครชาวนาที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่เผาให้เป็น “เกษตรกรฮีโร่ เลือกไม่เผา”
โครงการความร่วมมือระหว่างภูมิภาคด้านนวัตกรรมการเกษตร (โครงการเรน) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรแห่งประเทศสหรัฐและดำเนินการโดยองค์การวินร็อคอินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มกิจกรรม “ไม่เผา ๙๙” เสริมสร้างพันธมิตรกับมูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และหน่วยงานภาครัฐ และธุรกิจ
ตัวอย่างแปลงนาในอำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพื้นที่สาธิตแห่งแรกที่เปิดให้เกษตรกรและบุคคลที่สนใจเข้าเรียนรู้ด้วยตนเอง
สุกรรณ์ สังข์วรรณะ หมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดินเป็นเจ้าของแปลงนา ซึ่งแบ่งพื้นที่ 8 ไร่ (3.2 เอเคอร์) เป็น 8 แปลงสำหรับสาธิตประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ในการย่อยสลายฟางและตอซังเพื่อเตรียมแปลงนา ปรับปรุงคุณภาพของดินและสิ่งแวดล้อมในแปลง ตลอดจนเพิ่มการดูดซึมธาตุอาหารและความแข็งแรงของต้นข้าว
แปลงที่ 1 แสดงให้ผู้เยี่ยมชมเห็นขณะที่กำลังฉีดพ่นหรือเทสารละลายจุลินทรีย์ลงไป แปลงที่ 2 แสดงให้เห็นผลของสารละลายจุลินทรีย์หลังจากผ่านไป 3 วัน ซึ่งพบว่าฟางนิ่มพอที่จะปั่นฟาง แปลงที่ 3 แสดงการเปลี่ยนแปลงหลังจากใช้สารละลายจุลินทรีย์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แปลงที่ 4 เป็นแปลงที่ไม่ได้ใช้การบำบัดด้วยจุลินทรีย์ที่มีต้นข้าวอายุ 2 เดือน และอีก 4 แปลงที่เหลือเป็นแปลงเปรียบเทียบของต้นข้าวอายุ 2 เดือนที่ใช้จุลินทรีย์ต่างผลิตภัณฑ์
“ในขณะนี้มีผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เพื่อการย่อยสลายฟางและตอซังข้าวหลายตัวในตลาด คิดเป็นต้นทุนของการใช้งานตกเฉลี่ยที่ประมาณ 70 บาท ถึง 100 บาทต่อไร่”
ดรุณี เอ็ดเวิร์ดส กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่าสำหรับกิจกรรม “ไม่เผา ๙๙” มูลนิธิมีบทบาทส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรจากหลายภาคส่วนให้ชาวนาใช้จุลินทรีย์แทนการเผา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนในการเตรียมที่ดินสำหรับการปลูกข้าว นอกจากนั้นยังช่วยบรรเทามลภาวะอากาศที่มีฝุ่นพิษจิ๋ว PM 2.5 ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางสาธารณสุขที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศไทย
นอกจากแปลงสาธิตที่จ.สุพรรณบุรี โครงการเรนได้รับอนุญาตจากมูลนิธิชัยพัฒนาให้ใช้พื้นที่ศูนย์บริการการเกษตรใน 8 จังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกฉียงเหนือ ได้แก่ชัยนาท นครสวรรค์ พิจิตร อุดรธานี กาฬสินธุ์ นครราชสีมา ปทุมธานี และนครนายก เพื่อเป็นต้นแบบส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์แก่เกษตรกรในชุมชน
สรรศุภร วิชพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่าจุลินทรีย์ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับชาวนาเพื่อหลีกเลี่ยงการเผาเพราะการศึกษาพบว่าย่อยสลายฟางและตอซังข้าวได้โดยไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพของชาวนา
“การทดสอบประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ในการย่อยสลายฟางและตอซังข้าวที่ศูนย์บริการการเกษตรมูลนิธิชัยพัฒนา ปทุมธานี คลอง 11 ได้ผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามควรมีภาพที่สมบูรณ์จากการทดสอบเชิงเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านดิน น้ำ และสภาพอากาศที่ต่างกันในพื้นที่อื่นๆ”
วิลเลี่ยม สปาร์กส์ ผู้อำนวยการโครงการเรนกล่าวว่า โครงการเรนมีเป้าหมายใช้กลไกตลาดส่งเสริมให้ชาวนาใช้จุลินทรีย์ในวงกว้าง เนื่องจากจุลินทรีย์เป็นทางออกที่สำคัญให้ชาวนาเมื่อรัฐบาลไทยประกาศห้ามเผาแปลงนาหลังการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้การใช้จุลินทรีย์ยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพดิน และเพิ่มผลผลิตข้าว ทำให้ชาวนามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โครงการเรนได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ และพบว่านวัตกรรมนี้สามารถช่วยชาวนาเตรียมแปลงหลังการเก็บเกี่ยวสำหรับปลูกข้าวครั้งต่อไปภายในระยะเวลาสั้น ซึ่งเป็นความจำเป็นของชาวนาที่ปลูกข้าวนอกฤดูกาลโดยใช้น้ำจากระบบชลประทาน
"เมื่อเราบอกชาวนาว่า “ห้ามเผา” ประโยคนี้ยังไม่ครบถ้วนครับ เราควรอธิบายต่อไปว่าเมื่อไม่เผาแล้วชาวนาจะทำอย่างไร โครงการเรนมีคำตอบให้ นั่นก็คือใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายฟางและตอซัง”
ก่อนหน้านี้โครงการเรนประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้ชาวนาในพื้นที่ 4 จังหวัดรอบลุ่มแม่น้ำชีใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายฟางและตอซังข้าว และกำลังขยายการส่งเสริมให้ครอบคลุมทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้โครงการเรนจะขยายการส่งเสริมให้ชาวนาใช้จุลินทรีย์แทนการเผาในประเทศอื่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้