‘บราซิล’ เผชิญ ‘ภัยแล้ง-ขาดแคลนน้ำ’ เสี่ยงดินกลายเป็นทะเลทราย

“บราซิล” ประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของ “แม่น้ำแอมะซอน”
KEY
POINTS
- เฉพาะแค่ช่วงปี 2023-2024 ประเทศสูญเสียพื้นที่น้ำผิวดินไปประมาณ 2.5 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าพื้นที่ของสิงคโปร์ถึง 5 เท่า
- นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา บราซิลประสบวิกฤติน้ำครั้งใหญ่ 3 ครั้ง
- ระดับน้ำที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 47 ล้านคน ในการขนส่งทางน้ำ การเข้าถึงอาหาร บริการ และยารักษาโลก
เนื่องจาก “บราซิล” เป็นที่ตั้งของ “แม่น้ำแอมะซอน” แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีน้ำจืดสำรองอยู่ประมาณ 12% ของโลก ด้วยเหตุนี้ ชาวบราซิลจำนวนมาก (และคนทั่วโลก) จึงเข้าใจว่าประเทศนี้มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มตรวจสอบของบราซิลได้ตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมที่เก็บถาวรตั้งแต่ปี 1985 เพื่อติดตามพื้นที่น้ำผิวดินในบราซิลแบบรายเดือน
โดยเฉลี่ยแล้ว พื้นที่แหล่งน้ำหดตัวลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีผลกระทบอย่างหนัก เฉพาะแค่ช่วงปี 2023-2024 ประเทศสูญเสียพื้นที่น้ำผิวดินไปประมาณ 2.5 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าพื้นที่ของสิงคโปร์ถึง 5 เท่า
ในปี 2024 มีรายงานว่า 63% ของลุ่มน้ำย่อย 47 แห่ง สูญเสียน้ำผิวดินเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในประวัติศาสตร์ แอ่งน้ำย่อยของแม่น้ำเนโกรสูญเสียพื้นที่ไปแล้วกว่า 312,500 ไร่ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในประวัติศาสตร์
“เกิดภัยแล้งรุนแรงต่อเนื่องกัน 2 ปีในแอ่งน้ำแอมะซอนและในปี 2024 ภัยแล้งเกิดขึ้นเร็วกว่าปรกติและส่งผลกระทบต่อแอ่งน้ำที่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงในปี 2023 เช่น แม่น้ำทาปาโฮส” คาร์ลอส ซูซา จูเนียร์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน MapBiomas กล่าว
ปี 2024 บราซิลประสบปัญหาขาดแคลนน้ำตั้งแต่ทางเหนือจรดใต้ เจ้าหน้าที่ได้ประกาศภาวะขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำหลัก 5 แห่ง และไฟป่าได้ทำลายป่าฝนแอมะซอนและพื้นที่ชุ่มน้ำปังตานัล หลังจากเกิดภัยแล้งมาหลายเดือน แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศที่มีแหล่งน้ำจืดจำนวนมาก เช่น บราซิล ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติน้ำได้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตัดไม้ทำลายป่า และการจัดการน้ำไม่ด
นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา บราซิลประสบวิกฤติน้ำครั้งใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่ ในปี 2001, 2014-2015 และ 2021 ซึ่งเป็นปีที่มีฝนตกน้อย ทำให้ประชาชนต้องใช้น้ำอย่างจำกัด พืชผลเสียหาย และไม่สามารถใช้น้ำผลิตไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ จนไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ เนื่องจากประเทศนี้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำประมาณ 60%
“ในช่วงภัยแล้งในปี 2021 ราคาไฟฟ้าสูงขึ้น ราคาอาหารก็สูงขึ้น” ออกัสโต เกติรานา นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์อุทกวิทยาของ NASA กล่าว
บราซิล เป็นผู้ส่งออกเนื้อวัว ถั่วเหลือง ข้าวโพด และน้ำตาลรายใหญ่ของโลก ดังนั้นการเกิดวิกฤติน้ำในบราซิลเป็นวิกฤติระดับโลก ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามข้อมูลจาก Western South American Drought Bulletin ของศูนย์วิจัยนานาชาติเกี่ยวกับปรากฏการณ์เอลนีโญ (CIIFEN) ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนซึ่งเป็นพื้นที่ที่แม่น้ำและลำน้ำสาขาระบายออก และกระจายไปทั่วโบลิเวีย บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู และเวเนซุเอลา ประสบกับระดับน้ำที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 47 ล้านคน ในการขนส่งทางน้ำ การเข้าถึงอาหาร บริการ และยารักษาโลก
ขณะเดียวกัน บทบาทแหล่งผลิตพืชผลทางเกษตรของบราซิล ก็คุกคามธรรมชาติและแหล่งน้ำด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเพาะปลูก รวมถึงการทำปศุสัตว์จำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก เกษตรกรได้ยึดครองพื้นด้วยการตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย
พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายมากที่สุดอยู่ที่เซอร์ราโด ซึ่งเป็นเขตทุ่งหญ้าสะวันนาที่ถูกเรียกว่า “อ่างเก็บน้ำของบราซิล” เนื่องจากรากของต้นไม้ที่ฝังตัวอยู่ในดินจะช่วยเติมเต็มแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของประเทศ
ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติบราซิล (INPE) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 ถึงเดือนกรกฎาคม 2024 เซอร์ราโดสูญเสียพืชพรรณไป 8,174.17 ตร.กม. มากกว่าพื้นที่ในแอมะซอนประมาณ 2,000 ตารางกิโลเมตร
“โครงการเปลี่ยนบราซิลให้เป็นแหล่งอาหารโลกทำให้ระบบนิเวศเสียหายทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อทั้งบราซิลและต่างประเทศ” ลูเซียนา กัตติ นักวิจัยอาวุโสของ INPE กล่าว
ป่าแอมะซอนเป็นป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีบทบาทสำคัญในวงจรน้ำของบราซิล โดยลมจากทิศตะวันออกพัดน้ำที่ระเหยจากมหาสมุทรแอตแลนติกมาที่ป่าแอมะซอน และตกลงมากลายเป็นฝน ต้นไม้จะดูดน้ำและปล่อยน้ำกลับสู่ชั้นบรรยากาศเหมือนกับเครื่องสูบน้ำขนาดยักษ์ วิธีนี้ทำให้ป่าผลิตน้ำฝนได้เองเป็นส่วนใหญ่
ความชื้นบางส่วนที่ต้นไม้คายออกมาจะไหลผ่านเทือกเขาแอนดีสไปยังพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของบราซิล และไหลต่อไปยังอาร์เจนตินาและปารากวัยผ่านกระแสอากาศชื้นที่เรียกว่า “แม่น้ำที่บินได้” (Flying Rivers)
แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับทำให้เกิดภัยแล้งบ่อยขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะเกิดบ่อยขึ้นอีกในอนาคต แน่นอนว่าการบริโภคน้ำที่เพิ่มขึ้นและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น เอลนีโญ ก็มีส่วนเช่นกัน แต่เมื่อการปล่อยมลพิษทำให้ชั้นบรรยากาศร้อนขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ซับซ้อนกว่าเดิม
ปัจจุบัน มักเกิดฝนตกหนักสลับตกเป็นระยะ ๆ แทนที่จะตกปานกลางเป็นระยะเวลานาน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่บราซิลเกิด “สภาพอากาศสุดขั้ว” ในปี 2024 บางพื้นที่ในประเทศประสบภัยแล้งรุนแรง บางพื้นที่เกิดภัยแล้งซ้ำซากยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแอ่งเซาฟรานซิสโกและในภูมิภาคเซริโดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเสี่ยงต่อการกลายเป็นทะเลทรายเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกันก็เกิดน้ำท่วมด้วยเช่นกัน ภัยพิบัติเหล่านี้ทำให้บราซิลต้องจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างเหมาะสมมากขึ้น
“เศรษฐกิจและนโยบายของบราซิลสร้างขึ้นบนพื้นฐานความคิดที่ว่าบราซิลเป็นประเทศที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ การจัดการน้ำจึงเน้นที่พลังงานน้ำ แต่ความคิดนี้ต้องหมดไปเสียที เพราะเรามีปัญหามากมายเกี่ยวกับการใช้น้ำและการเปลี่ยนแปลงของความพร้อมใช้งาน” จูเลียโน ชเมิร์มเบค ผู้ประสานงานด้านเทคนิคของรายงานเกี่ยวกับน้ำ MapBiomas กล่าว
นั่นหมายความว่าการปกป้องแหล่งน้ำจากมลพิษ การระบายน้ำ หรือการใช้น้ำมากเกินไปมักจะถูกละเลยจากภาครัฐ เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ บราซิลจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน
ชเมิร์มเบคกล่าวว่า การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของแม่น้ำและทะเลสาบช่วยติดตามสภาพอากาศที่รุนแรงได้ พื้นที่น้ำผิวดินสามารถสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฝนในแต่ละปีได้
นอกจากนี้ บราซิลต้องเร่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำใต้ดิน เนื่องจากประชากรมากกว่า 80% ตอบสนองความต้องการของตนด้วยน้ำผิวดิน น้ำใต้ดินจึงอาจกลายเป็นแผนสำรองได้
“หากแม่น้ำแห้งเหือด ยังสามารถใช้น้ำใต้ดินได้ แต่เราจำเป็นต้องมีข้อมูลว่าสามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินได้มากเพียงใด โดยไม่ทำให้แหล่งน้ำใต้ดินหมดลง” เกติรานากล่าว
ปัจจุบันบราซิลตรวจสอบน้ำใต้ดินที่จุดต่าง ๆ ประมาณ 400 จุด ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น อเมริกาเหนือมี 16,000 จุด ส่วนอินเดียมี 22,000 จุด
ที่มา: Agência Brasil, DW, EL PAIS