หุ้น MORE เขย่าทั้งวงการ บทเรียนราคาแพงตลาดทุนไทย

กลายเป็นปรากฏการณ์ฉาวโฉ่สะท้านทั้งวงการตลาดทุน หลังจากที่หุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ร่วงติดเพดานต่ำสุด(ฟลอร์) ถึง 2 วันซ้อน
กลายเป็นปรากฏการณ์ฉาวโฉ่สะท้านทั้งวงการตลาดทุน หลังจากที่หุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ร่วงติดเพดานต่ำสุด(ฟลอร์) ถึง 2 วันซ้อน หลังจากมีวอลุ่มปริศนากว่า 1.5 พันล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 4.4 พันล้านบาท ในช่วงราคาเปิด (ATO) ของวันที่ 10 พ.ย. 2565 ซึ่งทำให้ราคาหุ้นเช้าวันนั้นเปิดกระโดดไปแตะระดับ 2.9 บาท ก่อนที่ราคาจะทิ้งดิ่งลงมาจนร่วงติดขอบจอ
โดยมาพร้อมกับสารพัดข่าวลือที่กดดัน "ราคาหุ้น" อย่างหนัก ซึ่งก็ทำให้หุ้น MORE ร่วงหนักต่อเนื่องอีกหนึ่งฟลอร์ในวันถัดมา (11 พ.ย.) ก่อนที่วอลุ่มปริศนานี้จะถูกเฉลยว่าเป็นของ "กลุ่มอภิมุข บำรุงวงศ์" ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของ MORE และยังเป็นผู้ที่มีความสนิทชิดเชื้ออย่างดีกับ อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และเป็น ซีอีโอ ของ MORE ด้วย
ด้วยจำนวนหุ้นที่ซื้อขายกันช่วง ATO ราว 1,500 ล้านหุ้น ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนหุ้นที่ อมฤทธิ์ ถืออยู่พอดิบพอดี จึงปฏิเสธไม่ได้ที่ อมฤทธิ์ จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ถูกหาว่าเป็นผู้ทำรายการขายออกมา
แต่ล่าสุดเจ้าตัวออกมายืนยันเสียงแข็งว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด และเตรียมที่จะขอปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น เพื่อดูว่าใครยังถือหุ้น MORE อยู่บ้าง แต่ไม่ว่างานนี้ อมฤทธิ์ จะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆ อภิมุข คนนี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องแบบเต็มๆ เพราะจากข้อมูลที่โบรกเกอร์ฝั่งที่ส่งคำสั่งซื้อหุ้น MORE ซึ่งมีราวๆ 10 กว่าแห่ง เปิดเผยออกมา พบว่าผู้ส่งคำสั่งซื้อล๊อตใหญ่ๆ ในหุ้น MORE มาจากคนๆ เดียวกัน คือ อภิมุข บำรุงวงศ์
มาถึงจุดนี้ อาจจะมีคำถามตัวโตๆ ว่า อภิมุข เป็นใครมาจากไหน ร่ำรวยอะไร ทำไมถึงเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ได้มากกว่า 10 แห่ง แถมยังมีวงเงินการซื้อขายหุ้นสูงถึงหลัก 4.5 พันล้านบาท ซึ่งจริงๆ แล้วทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจสืบทราบมาว่า วงเงินการซื้อขายหุ้นของ อภิมุข สูงกว่าตัวเลข 4.5 พันล้านบาท เกือบเท่าตัว ยิ่งสร้างคำถามตัวเป้งๆ ว่า เขาทำได้อย่างไร
..เรื่องนี้คนในวงการโบรกเกอร์เล่าว่า อภิมุข ใช้วิธีไล่เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ต่างๆ ในบัญชี Cash Account โดยที่วางหลักประกันเพียงแค่ 20% ของวงเงินซื้อขาย ซึ่ง อภิมุข ใช้วิธีนำหุ้นในพอร์ตจากโบรกเกอร์อื่นๆ มาค้ำประกัน และหุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่ก็คือหุ้น MORE นั่นเอง
เรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญและนับเป็นบทเรียนของวงการตลาดทุนไทย โดยประเด็นแรก คือ การปล่อยให้ใช้หลักประกันเดียว แต่เวียนกันเปิดพอร์ตขอวงเงินได้จากหลายๆ โบรกเกอร์ ทำให้ผู้ลงทุนมีอำนาจในการซื้ออย่างมหาศาล
ลองคิดดูว่า หลักประกันมีเพียง 20 ล้านบาท แต่ได้อำนาจซื้อจากโบรกเกอร์ 100 ล้านบาท ถ้าขอ 10 โบรกเกอร์ ก็ตก 1,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้มีข้อเสนอจากคนในวงการหลักทรัพย์ว่า ควรมีศูนย์กลางจัดเก็บข้อมูล หรือ “บูโร” เพื่อให้แต่ละโบรกรับทราบว่า ลูกค้าที่นำหลักประกันมาขอเปิดพอร์ตได้ถูกใช้กับที่อื่นไปบ้างแล้วหรือยัง เพื่อจำกัดอำนาจซื้อและยังช่วยลดผลกระทบในกรณีที่เกิดความเสียหายได้ด้วย
ประเด็นที่สอง คือ ตัวโบรกเกอร์เองที่อาจหย่อนยานในการตรวจสอบลูกค้าและหลักประกัน จนนำมาสู่เหตุการณ์ฉาวโฉ่สั่นสะเทือนวงการตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อย่างน้อยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็พอจะเห็นช่องโหว่หรือรูรั่วบ้างแล้ว โดย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกในงานแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า จะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวนี้มาเป็นบทเรียนเพื่อดำเนินการป้องปรามปัญหาที่อาจจะตามมาอีกในอนาคต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย!