'เบิร์กเชียร์' ถือบอนด์ระยะสั้นสหรัฐมากกว่า 'เฟด' สะท้อนมุมลบตลาดหุ้น

'เบิร์กเชียร์' ถือบอนด์ระยะสั้นสหรัฐมากกว่า 'เฟด' สะท้อนมุมลบตลาดหุ้น

'เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์' ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือครองพันธบัตรระยะสั้นสหรัฐมากกว่า 'ธนาคารกลางสหรัฐ' สะท้อนสัญญาณไม่มีอะไรน่าลงทุน นักลงทุนบางส่วนกังวลบัฟเฟตต์อาจมีมุมมองด้านลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ

ซีเอ็นบีซีรายงานว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของมหาเศรษฐีนักลงทุนวีไอ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น (T-bill) เป็นมูลค่าสูงถึง  2.346 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นสุดไตรมาส 2/2567 หรือเพิ่ม 81% จากที่ถือครอง สิ้นปีที่แล้วที่ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ 

ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถือครองอยู่ที่ประมาณ 1.953 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นสุดวันที่ 31 ก.ค. จากจำนวนการถือครองตราสารหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์   
 

นอกจากการถือครองสินทรัพย์ดังกล่าวแล้ว เบิร์กเชียร์ยังมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอีกกว่า 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงพันธบัตรอายุไถ่ถอนไม่เกิน 3 เดือนด้วย สะท้อนว่าเบิร์กเชียร์กำลังอยู่ในช่วง "ตุนเงินสดสูงสุดทุบสถิติใหม่" อีกครั้ง 

ซีเอ็นบีซีระบุว่า การที่บัฟเฟตต์นิยมถือครองพันธบัตรสหรัฐนั้นสะท้อนให้เห็นว่า ตำนานวีไอวัย 93 ปีรายนี้ ไม่สามารถมองหาการลงทุนใดที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนที่นี้ปลอดความเสี่ยงมากกว่า 5% ต่อปีที่ได้จากพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนบางส่วนกังวลว่า บัฟเฟตต์อาจมีมุมมองในด้านลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ

ก่อนหน้านี้ไม่นาน บริษัทของบัฟเฟตต์เพิ่งลดการลงทุนครั้งใหญ่ในบริษัทแอปเปิ้ล อิงค์ ก่อนที่จะเกิดการเทขายหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่เบิร์กเชียร์เทขายหุ้นมา 7 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว และยิ่งเพิ่มแรงเทขายมากขึ้นเป็นกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ 

ขณะที่บัฟเฟตต์เคยกล่าวเอาไว้ว่า เขาจะประมูลซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นโดยตรงในยามที่เกิดวิกฤติ 

ทั้งนี้พันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐ หรือ T-bill มีระยะไถ่ถอนสั้นตั้งแต่ 4-52 สัปดาห์ และให้ผลตอบแทนดีขึ้นมากตั้งแต่ช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 1 เดือนอยู่ที่ระดับ 5.33%, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือนอยู่ที่ 5.22% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 6 เดือนอยู่ที่ 4.95%

หากเบิร์กเชียร์ลงทุนในพันธบัตรอายุ  3 เดือน ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 5% โดยลงทุน 2 แสนล้านดอลลาร์ (ตัวเลขกลมๆ) จะได้รับผลตอบแทนความเสี่ยงต่ำประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี หรือไตรมาสละ 2.5 พันล้านดอลลาร์