ดาวโจนส์ร่วงเกือบ 400 จุด ตลาดขายทำกำไร-หวั่นทรัมป์ทำเงินเฟ้อพุ่ง

ดาวโจนส์ร่วงเกือบ 400 จุด ตลาดขายทำกำไร-หวั่นทรัมป์ทำเงินเฟ้อพุ่ง

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ ดาวโจนส์ร่วง 382.15 จุด นักลงทุนทยอยเทขายทำกำไรหลังหุ้นพุ่งทุบสถิติใหม่ในช่วงนี้ และยังกังวลว่านโยบายทรัมป์อาจทำเงินเฟ้อพุ่ง จับตาเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อวันนี้

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (12 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รวมทั้งความกังวลว่านโยบายต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,910.98 จุด ลดลง 382.15 จุด หรือ -0.86%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,983.99 จุด ลดลง 17.36 จุด หรือ -0.29%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,281.40 จุด ลดลง 17.36 จุด หรือ -0.09%
     

ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนขานรับนโยบายของทรัมป์ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีของภาคเอกชน และการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคส่วนต่างๆ แต่ตลาดอ่อนแรงลงเมื่อคืนนี้ หลังจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

แจ็ค แอบลิน ประนเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนจากบริษัท Cresset Capital กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า การปรับลดภาษีของภาคเอกชน และการใช้มาตรการเข้มงวดกับผู้อพยพของรัฐบาลทรัมป์อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.44% เมื่อคืนนี้

รัสเซลล์ ไพรซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Ameriprise Financial กล่าวว่า นอกจากแรงขายทำกำไรแล้ว การที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศร่วงลงก็เป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเช่นกัน โดยดัชนี STOXX 600 ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเกือบ 2% หลังจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตือนว่า การที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.57% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 1.34% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวขึ้น 0.51% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น 0.45%

หุ้นบางตัวที่เคยได้รับแรงหนุนจากชัยชนะของทรัมป์ปรับตัวลง โดยหุ้นเทสลา (Tesla) ปิดตลาดดิ่งลง 6% หลังจากทะยานขึ้นเกือบ 40% นับตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หุ้นแอมเจน (Amgen) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐร่วงลงกว่า 7% และเป็นปัจจัยกดดันดัชนีดาวโจนส์ หลังจากที่หุ้นแอมเจนถูกทุบขายในช่วงท้ายตลาด

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในวันนี้จะมีการรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนต.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้จะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. จากนั้นในวันศุกร์จะมีการรายงานยอดค้าปลีกเดือนต.ค.และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.