แพ้ในสนาม พังถึงนอกเกม? เจาะวิกฤติการเงินแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีแม้แต่ข้าวกลางวันให้พนักงาน

แพ้ในสนาม พังถึงนอกเกม? เจาะวิกฤติการเงินแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีแม้แต่ข้าวกลางวันให้พนักงาน

หากเอ่ยชื่อของทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว ต่อให้ไม่ใช่แฟนฟุตบอลตัวยงเอง ย่อมรู้จักกันดีในฐานะหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่โด่งดัง ประสบความสำเร็จ และร่ำรวยมากที่สุดของอังกฤษรวมถึงในระดับโลกด้วย

KEY

POINTS

  • เบอร์ราดายังเปิดเผยด้วยว่าแมนฯ ยูไนเต็ด มีตัวเลขรายได้ที่ลดลงเป็นปีที่ 5 แล้ว

ความยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลเบอร์หนึ่งของเมืองแมนเชสเตอร์นั้นไม่ได้ถูกตีวงเอาไว้เพียงแค่ในสนามเท่านั้น เพราะในเชิงธุรกิจ และการบริหารแล้วพวกเขาเป็นสโมสรที่เป็นต้นแบบของ Modern football club ที่จริงจังกับเรื่องของการทำการตลาด การหาสปอนเซอร์ หรือแม้แต่การลุยเรื่อง Merchandise สินค้าที่ระลึกด้วยการเปิด Megastore ก่อนใครตั้งแต่ปี 1994

แต่วันนี้สโมสรที่เคยยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังตกเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตกใจให้แก่แฟนฟุตบอลทั่วโลก ต่อให้ไม่ใช่สาวกปีศาจแดงก็ตาม เมื่อมีข่าวว่าเตรียมที่จะลดจำนวนสตาฟของสโมสรลงอีกราว 150-200 ตำแหน่ง

และที่ช็อกที่สุดคือ การสั่งตัดงบประมาณมื้ออาหารกลางวันที่เคยจัดเตรียมให้สตาฟทุกคนที่ศูนย์ฝึกซ้อมแคร์ริงตันได้เติมพลังกันฟรีๆ นับจากนี้เป็นต้นไป จะมีเพียงแค่ผลไม้กับซุปให้เท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้?

การตัดสินใจอันยากลำบาก

โอมาร์ เบอร์ราดา ซีอีโอของสโมสรคนปัจจุบันซึ่งย้ายข้ามฟากมาจาก “ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป” (City Football Group) อันเป็นต้นสังกัดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง (และเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ) ในช่วงกลางปีที่แล้วได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด

“เรามีความรับผิดชอบที่จะต้องทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ในสถานะที่เข้มแข็งที่สุดในการที่จะคว้าชัยชนะทั้งในทีมชาย ทีมหญิง และทีมอคาเดมี” เบอร์ราดา เกริ่นนำข่าวร้าย “เราได้ริ่เริ่มมาตรการหลายอย่างในการที่จะเปลี่ยนแปลงสโมสรใหม่ ซึ่งโชคร้ายที่จะหมายการเลิกจ้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราเสียใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเหล่าเพื่อนร่วมงานของเรา อย่างไรก็ดี การตัดสินใจอันยากลำบากนี้เป็นเรื่องจำเป็นในการที่จะทำให้สโมสรกลับมามีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งอีกครั้ง”

การบอกแบบนี้ของเบอร์ราดา หมายความว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมที่ครองแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดในประเทศอังกฤษ 20 สมัย แชมป์ยุโรปสูงสุดอีก 3 สมัย และครองความเป็นหนึ่งยาวนานในเรื่องของการทำธุรกิจนอกสนามกำลังประสบปัญหาทางการเงิน และอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ?

เรื่องนี้เป็นความจริง โดยตามข้อมูลสถานะทางการเงินของสโมสรที่เผยแพร่ออกมาในสัปดาห์ที่แล้วได้แสดงให้เห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้มีตัวเลขการขาดทุนสูงถึง 300 ล้านปอนด์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

โดยที่พวกเขามีความเสี่ยงที่จะละเมิดกฎทางการเงิน Profitability and Sustainability Rules หรือ “PSR” ที่อาจจะทำให้สโมสรต้องโดนลงโทษตัดแต้มที่จะส่งผลเสียหายร้ายแรงได้

การรัดเข็มขัดที่จัดว่าโหด

เบอร์ราดายังเปิดเผยด้วยว่าแมนฯ ยูไนเต็ด มีตัวเลขรายได้ที่ลดลงเป็นปีที่ 5 แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากความล้มเหลวของสโมสรในสนามที่ไม่สามารถเข้าแข่งขันในรายการใหญ่อย่างยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างสม่ำเสมอ

เหตุผลดังกล่าวนำไปสู่การพยายามลดต้นทุนทุกอย่าง โดยเป็นคำสั่งของ INEOS ของเซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอังกฤษ ที่ซื้อหุ้น 27.7 เปอร์เซ็นต์ จากครอบครัวเกลเซอร์เจ้าของสโมสรชาวอเมริกัน ด้วยเงินจำนวน 1.25 พันล้านปอนด์  (5.3 หมื่นล้านบาท) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และขอสิทธิในการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จทั้งหมด

เริ่มตั้งแต่การปลดคนงานจำนวน 250 คน ยกเลิกเงินสนับสนุนเหล่าตำนานของสโมสร ไปจนถึงเรื่องที่ช็อกความรู้สึกของทุกคนอย่างการขอยกเลิกสัญญาการเป็นทูตสโมสรของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือผู้สร้างทุกอย่างให้แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยอ้างว่าเพื่อประหยัดเงินจำนวน 2 ล้านปอนด์ต่อปี

จนถึงล่าสุดอย่างการเตรียมลดจำนวนสตาฟอีก 150-200 คน ซึ่งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ ที่มีการคาดว่าจะเป็นทีมแมวมอง และแผนกจัดหาบุคลากรของสโมสร โดยอ้างว่าเพื่อลดความอุ้ยอ้ายขององค์กร ทำให้องค์กรมีขนาดเล็กลง และคล่องตัว ทำงาน และบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่

เดิมแมนฯ ยูไนเต็ดมีจำนวนลูกจ้างในเดือนมิถุนายน 2024 ที่ 1,140 คน การลดจำนวนคนสูงสุดถึง 450 คน หมายถึงการลดจำนวนคนงานของสโมสรถึง 39 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่การสั่งตัดงบมื้ออาหารกลางวันให้แก่สตาฟที่ศูนย์ฝึกแคร์ริงตันซึ่งปกติจะจัดให้รับประทานฟรีในโรงอาหารของสโมสรในช่วงเวลา 11.30-13.30 น. ของทุกวัน จากนี้จะได้เพียงน้ำ และผลไม้เท่านั้น และมีเพียงแค่นักฟุตบอลทีมชุดใหญ่ที่จะได้ทุกอย่างเหมือนเดิม ซึ่งมีการอ้างว่าจะประหยัดงบได้ถึง 1 ล้านปอนด์ต่อปี และเป็นเรื่องปกติของพนักงานที่จะต้องซื้อหาอาหารรับประทานเองอยู่แล้วเหมือนพนักงานบริษัททั่วไป

นอกจากนี้แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเตรียมปิดสำนักงานทั่วโลกด้วย ตั้งแต่ลอนดอนจนถึงฮ่องกง ดึงทุกอย่างกลับมาที่ศูนย์กลางของสโมสรที่แมนเชสเตอร์

แก้ปัญหาถูกจุด?

การตัดสินใจของ INEOS ครั้งล่าสุด เป็นอีกครั้งที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ และทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการบริหารสโมสรเพราะแต่ละเรื่องที่ทำในแต่ละเดย์ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด คือ เรื่องของการจัดหาบุคลากร ทั้งในเรื่องของผู้เล่นซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ (Assets) ที่สำคัญที่สุดของสโมสร และผู้จัดการทีมที่ถือเป็นผู้กุมบังเหียนของสโมสรในการจะล่องฝ่านาวาเกมลูกหนังไปข้างหน้าให้ไกล และสวยงามที่สุด

INEOS ถูกตำหนิในการตัดสินใจที่น่ากังขา โดยเฉพาะการต่อสัญญากับเอริค เทน ฮาก อดีตผู้จัดการทีมในเดือนมิถุนายน ปีกลาย ทั้งที่ไม่ไว้วางใจในการทำงาน สุดท้ายก็ต้องสั่งปลดจากตำแหน่งในเวลาแค่ไม่กี่เดือนหลังฟุตบอลเปิดฤดูกาลใหม่

เฉพาะระยะเวลา 3-4 เดือนนั้นสร้างความเสียหายให้แก่สโมสรอย่างมหาศาล แค่การปลดเทน ฮาก และเลิกจ้างทีมงานของเขาทุกคนใช้เงินมากถึง 14.5 ล้านปอนด์ (616 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังต้องไปจ่ายให้กับสปอร์ติง ลิสบอน เพื่อดึงตัวรูเบน อโมริม โค้ชชาวโปรตุเกสมาอีก 11 ล้านปอนด์ (467 ล้านบาท)

แมนฯ ยูไนเต็ด ใต้ INEOS ยังตัดสินใจผิดพลาดร้ายแรงอีกในการดึงตัว แดน แอชเวิร์ธ หนึ่งในผู้อำนวยการสโมสรที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในวงการฟุตบอลอังกฤษมาจากนิวคาสเซิล แต่กลายเป็นทำงานร่วมกันไม่ได้ และตัดสินใจปลดจากตำแหน่งแบบช็อกวงการ โดยรวมแล้วต้องเสียเงินอีก 4.1 ล้านปอนด์ (174 ล้านปอนด์)

นั่นหมายถึงค่าเสียหายจากการบริหารที่ผิดพลาดของ INEOS ในเรื่องนี้มากถึง 29.6 ล้านปอนด์ (1.2 พันล้านบาท) เข้าไปแล้ว ซึ่งถ้าเทียบกับค่าอาหารกลางวันจะสามารถเลี้ยงพนักงานได้อีก 30 ปี และตอบแทนเซอร์ อเล็กซ์ ผู้สร้างทุกอย่างให้แก่สโมสรได้อีกถึง 15 ปี ความเลวร้ายที่สุดคือ แมนฯ ยูไนเต็ดไม่ได้เพิ่งมีปัญหาแบบนี้แค่ปีเดียว พวกเขามีปัญหาแบบนี้มานับสิบปี

เพราะแพ้ในสนาม เลยแพ้นอกสนามด้วย

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแมนฯ ยูไนเต็ด ถือเป็นเรื่องเหนือจินตนาการอย่างมากสำหรับวงการฟุตบอล เพราะไม่มีใครคิดว่าสโมสรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะประสบปัญหา และชะตากรรมถึงขั้นไม่มีแม้กระทั่งงบมื้อกลางวันให้สตาฟของสโมสร ลดการช่วยเหลือแฟนบอลผู้พิการ และขึ้นราคาตั๋วฟุตบอลเข้าชมเกมรีดเลือดจากแฟนฟุตบอล

แต่ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ทุกอย่างเป็นผลจากผลงานที่เลวร้ายทั้งเรื่องใน และนอกสนาม

ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ เรื่องของการจัดหาบุคลากร (Recruitment) ที่แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะซื้อผู้เล่นในสนนราคาแพงมหาศาล พร้อมเปย์เงินค่าเหนื่อยสูงเกินความจำเป็น ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นการลงทุนที่ล้มเหลว

จุดนี้สามารถไล่ชื่อได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปอล ป็อกบา (89.3 ล้านปอนด์ สถิติโลกในขณะนั้น), คาเซมิโร (70 ล้านปอนด์), แฮร์รี แม็กไกวร์ (80 ล้านปอนด์), แอนโทนี (86 ล้านปอนด์), ราสมุส ฮอยลุนด์ (72 ล้านปอนด์)

นักฟุตบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่ ล้วนมีค่าตอบแทนมากมายมหาศาล โดยแมนฯ ยูไนเต็ด ปัจจุบันเป็นสโมสรฟุตบอลที่จ่ายค่าเหนื่อยจ้างนักฟุตบอลสูงเป็นอันดับที่ 3 ของพรีเมียร์ลีก โดยที่ค่าเหนื่อยที่จ่ายเป็นอันดับ 3 นั้นมีการลดจำนวนเงินที่จ่ายด้วยเพราะสโมสรไม่ได้เล่นในรายการใหญ่อย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก

แต่ผลตอบแทนที่ได้ในปัจจุบันแมนฯ ยูไนเต็ด อันดับร่วงจากที่ 8 เมื่อฤดูกาลที่แล้วมาสู่อันดับ 15 ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 35 ปีของสโมสร ซึ่งเคยจบฤดูกาลด้วยอันดับ 13 ในฤดูกาล 1989/90

ผลงานที่เลวร้ายต่อเนื่องส่งผลกระทบอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ เช่น Adidas ที่เซ็นสัญญาสปอนเซอร์ชุดแข่งด้วยจำนวนเงินมหาศาลปีละ 90 ล้านปอนด์ จะมีการลดจำนวนเงินลงมา 10 ล้านปอนด์ หากไม่ได้ไปแชมเปียนส์ ลีก

ขณะที่หากทีมจบอันดับที่ 15 จะได้รับเงินรางวัลส่วนแบ่งจากการแข่งขัน (Merit system) ลดลงเหลือแค่ 16.9 ล้านปอนด์ น้อยกว่าในฤดูกาลที่แล้วที่จบอันดับที่ 8 ซึ่งได้ 36.7 ล้านปอนด์เกือบ 20 ล้านปอนด์

ความหวังที่จะรอดอยู่ที่การลุ้นคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีก ซึ่งจะทำให้ทีมได้ผ่านเข้าไปเล่นในแชมเปียนส์ ลีกได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

สถานการณ์ทั้งหมดใต้การบริหารของ INEOS จึงนับว่าวิกฤติยิ่งนัก นอกสนามก็หนัก ในสนามก็เหนื่อยเพราะทีมอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างยิ่ง และต้องมีการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะมีงบประมาณแค่ไหน (คาดว่ามีไม่มากนักหรือมากพอ) โดยที่ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าโค้ชอย่าง อโมริม คือ คนที่ใช่จริงๆ และจะพลิกสถานการณ์ทุกอย่างได้ในฤดูกาลหน้า

แต่เรื่องที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับแฟนปีศาจแดงทั่วโลกคือ เจ้าของหุ้นใหญ่อย่างครอบครัวเกลเซอร์ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยังใช้แมนฯ ยูไนเต็ด ในการจ่ายดอกเบี้ยที่กู้มาเพื่อซื้อสโมสร (นับจากปี 2005 ถึงปัจจุบันรวมแล้วเกินกว่า 1,000 ล้านปอนด์!)

ความตกต่ำที่แสนเจ็บปวดของแมนฯ ยูไนเต็ดครั้งนี้มีโอกาสจะกินระยะเวลายาวนาน

ทางออกเดียวที่จะพาออกจากความมืดมน อนธการนี้คือ การหาใครสักคนที่เทกโอเวอร์สโมสรแล้วกดรีเซตทุกอย่างใหม่หมด

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเกลเซอร์ยังไม่คิดปล่อยสโมสรที่เป็นเหมือนห่านทองคำของพวกเขาไปง่ายๆ

 

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์