สื่อนอกชี้ หุ้นไทย 'เดลต้า' ขึ้นแท่น 'ผลงานแย่ที่สุดในเอเชีย'

สื่อนอกชี้ หุ้นไทย 'เดลต้า' ขึ้นแท่นหุ้นที่ทำผลงาน 'แย่ที่สุดในเอเชีย' หลังจากร่วงหนัก 50% ในปีนี้ ฉุดมูลค่าวูบหนัก 3 หมื่นล้านดอลลาร์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หุ้นของ บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ได้กลายเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการแย่ที่สุดในดัชนี MSCI Asia Pacific หลังจากดิ่งลงหนักกว่า 50% ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นการร่วงลงเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายอื่นๆ ของโลกที่มีมูลค่าอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก
การร่วงลงของราคาหุ้นเดลต้าในปีนี้ทำให้มาร์เก็ตแคปของบริษัทลดลงไปแล้วประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1 ล้านล้านบาท) สวนทางกับสถานการณ์เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ที่หุ้นของเดลต้าเพิ่งจะทำราคาแซงหน้าหุ้นระดับโลก จนทำให้ทางการไทยต้องเคลื่อนไหวหลายครั้งเพื่อหยุดยั้งการพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาหุ้น
การร่วงลงของหุ้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดของไทย นับเป็นตัวอย่างสุดขั้วที่สะท้อนว่า "กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยสร้างมูลค่าที่มากเกินไปได้อย่างไร" การตกต่ำของหุ้นเดลต้าเริ่มขึ้นหลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ย. 2567 โดยเร่งตัวขึ้นแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เสนอให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นเดลต้าในดัชนีหลัก และบริษัทเองก็รายงานกำไรต่ำกว่าที่คาดการณ์ก็ตาม
ยูกิ ทาเคชิมะ นักวิเคราะห์จาก บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เดลต้าเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการทำกำไรจากโครงสร้างต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัว ในขณะที่กระแสการเติบโตของ AI ไม่น่าจะช่วยสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญให้กับเดลต้าได้ในปีนี้ ซึ่งทาเคชิมะแนะนำให้ขาย
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเดลต้าร่วงลงหนักถึง 23% เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2568 หลังจากรายงานรายได้สุทธิทั้งปีต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ไว้ ขณะที่บริษัทเพิ่งเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่ากำไรไตรมาส 4 ลดลง 54% และชี้แจงสาเหตุของผลประกอบการที่ย่ำแย่
แนวโน้มกำไรของเดลต้าอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นเพิ่มเติม ทาเคชิมะซึ่งปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อต้นเดือนนี้คาดว่า core earning จะลดลง 5% ในปี 2568 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจาก "การปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลในไทย" ที่จะเริ่มในปีนี้ ทำให้อัตราภาษีโดยเฉลี่ยของบริษัทอาจขยับขึ้นเป็น 15% จากประมาณ 3 - 5% ในอดีต
นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันยังมาจากการที่ ตลท.ได้กำหนดข้อจำกัดในการซื้อขายหุ้นของเดลต้าเมื่อเดือนพ.ย. เพื่อพยายามจำกัดการเก็งกำไรที่มากเกินไป รวมถึงเสนอให้จำกัดการถ่วงน้ำหนักหุ้นในดัชนี SET50 และ SET100 หลังจากหุ้นเดลต้ามีอิทธิพลในดัชนีหลายตัวในช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น ข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์กแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันสัดส่วนหุ้นเดลต้าคิดเป็นประมาณ 6% ของดัชนีอ้างอิง SET ซึ่งลดลงจากประมาณ 12% ในเดือนพ.ย.
ทางด้านฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของเดลต้าไม่ได้ตอบกลับอีเมลขอความคิดเห็นของบลูมเบิร์กในเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี ชนัญญ์ธร พิชญะภาณุพัฒน์ นักวิเคราะห์จาก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มองว่า ราคาหุ้นของเดลต้าร่วงลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ท่ามกลางความคาดหวังว่าการนำเซิร์ฟเวอร์ AI มาใช้มากขึ้นอาจช่วยกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทได้
ปัจจุบันหุ้นเดลต้ามี P/E อยู่ที่ประมาณ 45 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีของบริษัทที่ 55 เท่า ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก ขณะที่ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 12 เดือนของนักวิเคราะห์สูงกว่าราคาปิดเมื่อวันพฤหัสบดีถึง 9.5%
ที่มา: Bloomberg