Healthcare sector เราชอบหุ้นโรงพยาบาลใหญ่มากกว่าใน 2H65
การเปลี่ยนสถานะของ COVID-19 จาก “โรคติดต่ออันตราย” เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” จะกลายเป็นธีมการลงทุนของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไทย
นอกจากนี้ เรายังเห็นพัฒนาการด้านบวกของกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มี intensity สูงมารับการรักษาเพิ่มขึ้นในช่วงปลาย 2Q65 เราเชื่อว่าโมเมนตัมด้านบวกจะดำเนินต่อไปใน 2H65 สะท้อนถึงแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณายอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน (จากากรตรวจ RT-PCR) จากสถิติรายเดือน พบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ขึ้นไปสูงที่สุดที่ 23,800 ราย/วันในเดือนมีนาคม 2565 ก่อนที่จะกลับลงมาเหลือ 20,800 รายในเดือนเมษายน 2565 และเหลือเพียงประมาณ 2,000 รายในช่วงเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม 2565 (Figure 3) ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบันน่าจะเป็นปกติแล้วเมื่อดูจากการระบาดของ COVID-19 รอบก่อนที่นำโดยสายพันธุ์ Delta นอกจากนี้ เรายังพบว่าผลกระทบด้านลบจากการระบาดของ COVID-19 ลดลง เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว (มีผู้ได้รับวัคซีนสองเข็มแล้ว 76.8% และสามเข็ม 37.7% ณ วันที่ 12 กันยายน)
กลุ่มที่เสียประโยชน์ก่อนหน้านี้จะกลายเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก 2H65 เป็นต้นไป
กว่าสองปีที่ COVID-19 ระบาดในประเทศไทย โรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กเป็นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์โรคระบาด เพราะสัดส่วนรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 สูงถึง 40%-60% ในช่วงที่ระบาดหนัก สำหรับในระยะต่อไป ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของผลการดำเนินงานโดยรวมจะได้แก่ i) ความสามารถในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนมารักษาบริการโรคที่ไม่ใช่ COVID ii) สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ และ iii) ความหลากหลายของบริการใหม่ ๆ หลังสถานการณ์โรคระบาดผ่านพ้นไป โดยสรุปแล้ว เราคาดว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีโมเมนตัมเชิงบวกจากการเปลี่ยนการใช้งานสินทรัพย์ที่มีอยู่ (Figure 14) ซึ่งจะทำให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการ โดยจะมีอัตรากำไรสูงขึ้น นอกจากนี้ เราคาดว่ากระแสรายได้ของโรงพยาบาลขนาดเล็กจะลดลง YoY ใน 2H65 จากยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ชะลอตัวลง
การเปิดประเทศอย่างเต็มที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของการรักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่ COVID
ในปัจจุบัน เราคาดว่าโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยต่างชาติจะเติบโตเร็วกว่าโรงพยาบาลที่มีฐานลูกค้าในประเทศ เพราะมีผู้ป่ วยต่างชาติบินเข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ซึ่งในธีมนี้ เราคาดว่า BH และ BDMS จะได้อานิสงส์มากที่สุดเมื่อพิจารณาจากฐานผู้ป่วยต่างชาติ่ก่อน COVID จะระบาดในปี 2562 (Figure 4)
คาดว่าโรงพยาบาลต่าง ๆ จะออกบริการทางการแพทย์ที่หลากหลายมากขึ้นตามมา
จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ดีขึ้น และความรุนแรงของผลกระทบที่ลดลงในประเทศไทย เราคิดว่าโรงพยาบาลหลายแห่งจะให้บริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของบริการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม และการให้บริการในเชิงป้องกันแก่กลุ่มผู้ป่วยเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานโดยรวมของโรงพยาบาลต่าง ๆ ตามความแข็งแกร่งของ platform การให้บริการที่หลากหลาย (อย่างเช่น โรคร้ายแรง, wellness, ความงาม, การดูแลผู้สูงอายุ) ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว
Valuation & Action
ถึงแม้ว่าเราจะชอบโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีฐานผู้ป่วยต่างชาติ แต่ราคาหุ้นขนาดกลางถึงเล็กของกลุ่มโรงพยาบาลอ่อนตัวลงในช่วงที่ผ่านมาจนมี upside ที่น่าสนใจจากการที่สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ลดลง ดังนั้น เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มเป็น Overweight (จาก Neutral) โดยเราเลือก BDMS เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 36.00 บาท โดยปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญได้แก่ i) รายได้จากการรักษาผู้ป่วยโรคอื่นนอกเหนือจาก COVID ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลับไปอยู่ใกล้ระดับก่อนเกิดโรคระบาดใน 1Q62 และ ii) รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นได้อีกจากการที่ประเทศไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
Risks
COVID-19 ระบาด, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่, เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้