Quantamental "ทยอยสะสมหุ้น" เพื่อปีหน้า
ตลาดหุ้นผันผวนในเดือน ต.ค. (ตามคาด) แต่ยังปิดบวกได้ ในบทวิเคราะห์ฉบับก่อนหน้า เราคาดตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค. จะผันผวน และเราแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อเมื่อดัชนี SET index พักฐาน ซึ่งในเดือน ต.ค. ดัชนี SET index ปรับลดลงแรงในช่วงต้นเดือน
แต่หลังจากนั้นฟื้นตัวกลับมาได้ และส่งผลให้ดัชนี SET index เดือน ต.ค. สามารถปิดบวกได้ 1.2%MoM ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงกลางๆ เดือน ต.ค.ก่อนที่จะเข้าสู่ภาพของการ Sideway ในช่วงปลายเดือน ต.ค. ขณะเดียวกัน Consensus ทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) 1.2% MoM
Value factor: ยังไม่ถูก แต่คาดหากปรับไปใช้ข้อมูลปี หน้าจะรับได้กับการลงทุน
i) Modified yield gap (M-yield gap): ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ต.ค. Bond yield ทรงตัว ขณะที่ประมาณการ EPS ถูกปรับขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ M-yield gap ยังทรงตัวที่ -0.21 จุด ใกล้เคียงระดับ 0 ตามเดิม ซึ่งสะท้อนว่าขณะนี้ Valuation ของตลาดหุ้น กับ ตลาดพันธบัตร อยู่ในระดับ Neutral ในเชิงเปรียบเทียบกัน สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 2 เดือน เราคาดว่า Downside ของประมาณการ EPS จะมีไม่มากนัก จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเด่น ขณะเดียวกันทิศทางของ Bond yield หลังจากนี้ แม้ว่าจะยังทรงตัวสูงในระยะสั้น เนื่องจากคาดว่า Fed จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC อีก 2 ครั้ง (เดือน พ.ย.-ธ.ค.) แต่นักเศรษฐศาสตร์ของเราคาด Bond yield จะถึงจุดสูงสุดของวัฏจักรรอบนี้ในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งหากมุมมองทั้ง 2 ตลาด เป็นจริง จะทำให้ Yield gap กลับมาส่งสัญญาณน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในอีก 1 - 2 เดือนข้างหน้า
ii) Implied equity risk premium (iERP): iERP ล่าสุดเท่ากับ 3.25% ลดลงเล็กน้อยเทียบกับเดือนก่อนแต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ ทั้งนี้คาดการณ์ปันผลต่อหุ้น (DPS) ของดัชนี SET index สำหรับปี 2565 - 66 ถูกปรับขึ้นเล็กน้อยราว +1% ในแต่ละปี ตามการปรับประมาณการ EPS ขึ้น สำหรับอัตราส่วน iERP/Risk free rate ล่าสุดเท่ากับ 1.0 เท่า คิดเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 2557 ดังนั้นความน่าสนใจลงทุนเชิงเปรียบเทียบระหว่าง 2 ตลาด ด้วย iERP ทำให้ตลาดหุ้นดูไม่น่าสนใจ
iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): อัตราส่วน CAPE ล่าสุดเท่ากับ 18.7 เท่า (+0.75 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าเฉลี่ยในอดีต) ขณะที่ Excess CAPE Yield (ECY) ล่าสุดเท่ากับ 2.4% เป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ต.ค. 2561 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่า ECY ของประเทศไทยเปรัยบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่าอยู่ในระดับที่เท่ากันพอดีในเดือน ต.ค. ที่ 2.4%
ทยอยซื้อสะสมหุ้น ลงทุนสำหรับปีหน้า
เนื่องจากคาดว่าที่ประชุม FOMC จะยังตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมอีก 2 ครั้งถัดไป (พ.ย. - ธ.ค.) ทำให้เราคาดว่า Bond yield จะยังทรงตัวสูงต่อเนื่องในอีก 1 - 2 เดือน อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ของเรา คาดว่า Fed จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในเดือน ม.ค.2566 และหลังจากนั้น จะหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (บนสมมติฐาน ปัจจุบัน) ขณะเดียวกันคาดว่านักลงทุนระยะยาวจะเริ่มทยอยซื้อสะสมพันธบัตรเพื่อการลงทุนระยะยาวแล้ว เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นเราคาดว่า การ De-rating Valuation ของตลาดหุ้นไทยน่าจะใกล้สิ้นสุดลงแล้วในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ Default Spread หรือ ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เรตติ้ง BBB กับ AAA ล่าสุดยังลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า เริ่มยืนยันมุมมองของเราว่า วัฏจักรเศรษฐกิจของไทยได้ผ่านพ้นจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว ความเสี่ยงเรื่อง Default ของบริษัทขนาดกลาง - เล็ก เริ่มลดลง ซึ่งในทางทฤษฎีจะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการสะสมหุ้น ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้น สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1 - 3 เดือน)
หุ้นเด่นจาก Quantamental model ของเราในเดือนก่อน ให้ผลตอบแทนรวม 3.9% และ 5.8% ตามลำดับ อิงE qual weight และ Market cap weight ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นเพียง 1.2% MoM ในเชิง Technical เราประเมินเดือน พ.ย. นี้ ดัชนี SET index มีแนวรับ 1610 จุด และ 1590 จุด / แนวต้าน 1650 จุด และ 1670 จุด ตามลำดับ