Quantamental ลดพอร์ตหุ้น ขายทำกำไรบ้างช่วงหุ้นขึ้น
เดือน ม.ค. 66 เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทยตามคาด จากบทวิเคราะห์เชิงปริมาณของเรา ในเดือน ธ.ค.65 ที่ผ่านมา เราคาดว่านักลงทุนจะทำการปรับพอร์ตลงทุน โดยเข้าซื้อหุ้นไทย โดยเฉพาะในช่วงเดือน ม.ค.
โดยมีประเด็นสนับสนุนคือ i) ประมาณการกำไรปีนี้ที่เติบโต YoY และ ii) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ที่ปรับลดลง
Value factor: พอไหว แต่ไม่ได้ถูก
i) Modified yield gap (M-yield gap): Bond yield ปรับลดลงตั้งแต่เดือน ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา และทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง จนถึงต้นเดือน ม.ค. 66 อย่างไรก็ดี Bond yield อายุ 5 ปี เริ่มฟื้นตัวตัวขึ้นมาในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ม.ค.66 (แต่ยังไม่ได้ฟื้นแรงมากจนมีนัยสำคัญ) ล่าสุดนักวิเคราะห์ในตลาดฯ (Consensus) คาดกำไรต่อหุ้นของ SET index ไว้ที่ 106.4 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นเล็กน้อย +2.5% จากปีก่อนส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทน (Yield) ของตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร หรือ “Normal yield gap” ล่าสุดเท่ากับ 4.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีตที่ 4.2% เล็กน้อย (ค่าเฉลี่ยย้อนหลังทั้ง 5 ปี และ 10ปี) ทั้งนี้ค่า Modified yield gap หรือ M-yield gap ที่เราพัฒนาขึ้นมาล่าสุดเท่ากับ +0.6 จุด ค่าที่เป็นบวก
สะท้อนว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้ น่าสนใจกว่าตลาดพันธบัตรอยู่เล็กน้อย (M-yield คำนวณจากจากส่วนต่างระหว่างค่า Standardize ของ Earnings yield และ Bond yield โดยเป็นการคำนวณในรูปแบบ Rolling 52 สัปดาห์)
ii) Implied equity risk premium (iERP): Implied Equity risk premium หรือ iERP ของตลาดหุ้นไทยที่เราคำนวณขึ้น ยังทรงตัวในระดับที่ต่ำเพียงราว 3.5% ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากในปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้นักวิเคราะห์ในตลาดฯ ได้ทำการปรับลดประมาณการฯเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยปี 2565 ลงถึง -8% แต่ยังคงประมาณการฯเงินปันผลปี 2566 – 67 ไว้ใกล้เคียงเดิม อัตราส่วนระหว่าง iERP และ Risk free rate (Bond yield อายุ 10 ปี) ล่าสุดเท่ากับ 1.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยใน 4Q65 ที่ 1.2 เท่าเล็กน้อย สะท้อนความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่ดีขึ้น เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2565
iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): อัตราส่วน CAPE ล่าสุดสูงเท่ากับ 20 เท่า คิดเป็น +1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ยในอดีต ค่า Excess CAPE yield (ECY) เท่ากับ 2.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยใน 4Q65 ที่ 2.6% เล็กน้อย เนื่องจาก Bond yield ที่ลดลง ขณะที่ค่า ECY ของตลาดหุ้นสหรัฐฯล่าสุดเท่ากับ 2.56% สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทย แม้จะไม่ได้ถูกมากนัก (CAPE สูง) แต่ยังพอมีความน่าสนใจลงทุนหากพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบ (Relative valuation)
ลดพอร์ต ขายทำกำไรบ้าง ช่วงหุ้นขึ้น เพื่อรอจังหวะเก็บหุ้นใหม่อีกครั้ง
จากข้อมูลการคำนวณ Valuation โมเดลด้วยวิธีต่างๆ ให้ผลสรุปที่ใกล้เคียงกันคือ Valuation ของตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ถูกมากนัก นอกจากนี้เราคาดว่า Bond yield มีโอกาส Rebound ในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อ Valuation ของตลาดหุ้นโดยรวม แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นมากในปีนี้ แต่เราประเมินว่าข่าวดีต่างๆ ได้เริ่มทยอยซึบซับมาในราคาหุ้นปัจจุบันพอสมควรแล้ว ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่นักลงทุนจะเริ่มขายทำกำไร โดยเฉพาะในช่วงการรายงานผลการดำเนินงานประจำปี (เดือน ก.พ. - มี.ค.) เราจึงแนะนำ ให้นักลงทุนลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยลง ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นระหว่างเดือนนี้ ...
ทั้งนี้ เราแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เดือน พ.ย. 65
หุ้นเด่น 20 ตัวที่เลือกจากโมเดลเชิงปริมาณของเราตามตารางที่ 1 (คำนวณจากทั้งปัจจัย Value และ Momentum) ในเชิง Technical analysis ประเมินแนวรับดัชนี SET index ไว้ที่ 1,660 จุด และ 1,640 จุด / แนวต้าน 1,695 จุด และ 1,715 จุด ตามลำดับ