KTX Zoom (22 พฤษภาคม 2566)

KTX Zoom (22 พฤษภาคม 2566)

EPS ของตลาดหุ้นไทย ถูกปรับลดลง -4.5% หลังประกาศผลการดำเนินงาน

KTX Zoom (22 พฤษภาคม 2566)

 

Today’s dominant ideas

คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways Down แนวรับ 1,507/1,500 จุด แนวต้าน 1,522/1,530 จุด ทางเทคนิค อิงรูปแบบสามเหลี่ยมขาลง Descending Triangle ดัชนีฯ มีความเสี่ยงที่จะอ่อนตัวลงลึกไปที่ 1,490/1,450 จุด หากดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญ 1,507 จุด

ประเด็นสำคัญวันนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการปรับลดประมาณการ EPS บริษัทจดทะเบียนไทยลดลง เป็นปัจจัยลบที่ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรที่พลิกกลับมาขายสุทธิ โดยมูลค่าสะสมของยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรปรับตัวลดลงกว่า –11% นับจากจุดสูงสุดของเดือนนี้ หลังซื้อสะสมมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. (Figure 1)

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มีการปรับลดประมาณการ 2023E EPS ของ SET ลง -4.5% นับตั้งแต่ประกาศผลการดำเนินงาน (18 เม.ย.) โดยประมาณการ EPS ที่ถูกปรับลงกดดันให้ Market risk premium ปรับตัวลงจากระดับ +2 S.D. ที่ 4.4% สู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 60 วัน ที่ 4.1% สะท้อนถึง Valuation ของตลาดหุ้นไทยแพงขึ้น และกดดันให้ SET Index ปรับลดลง (Figure 2) อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดพันธบัตร เมื่อเราพิจารณาจาก 2/10Y TH Bond Yield Spread ที่ดิ่งลงต่อเนื่อง (Bond Yield 2 ปี ขึ้นแรงกว่า 10 ปี) ทำให้เรามองว่าการไหลออกของเงินทุนต่างชาติส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะสั้น (Hot Money) ขณะที่เงินทุนระยะยาว (Smart Money) ยังคงอยู่ในตลาดพันธบัตรไทย

เราคาดว่าความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะเริ่มมีจำกัด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความกังวลเรื่อง US Debt ceiling คาดคลี่คลายได้ก่อนครบกำหนดเส้นตาย (สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรครีพับลิกัน แจ้งยกเลิกการเจรจาชั่วคราว เพื่อรอประธานาธิบดีไบเดนกลับมา) และวิกฤติธนาคารของสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจาก US Bond Yield อายุ 1 เดือน (Money Market Fund) ที่กลับมาเพิ่มสูงกว่า Overnight rate สะท้อนว่าความกังวลต่อการล้มละลายต่อเนื่องของธนาคารขนาดเล็กเริ่มคลี่คลาย ทำให้กระแสการแห่ถอนเงินฝากธนาคารขนาดเล็ก เข้าสู่ Money Market Fund เริ่มเบาลง ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ คาดว่าราคาหุ้นได้รับรู้ความเสี่ยงของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไปมากแล้ว แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากส.ส. และส.ว. ก็ตาม (Risk/Reward Ratio เริ่มน่าสนใจ)

 

กลยุทธ์ลงทุน เราคัดเลือกหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมากขึ้นนับตั้งแต่หลังวันเลือกตั้ง (ซึ่งเป็นช่วงที่เงินทุนเริ่มไหลออก) ซึ่งเป็นหุ้นเปลอดภัยในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความเสี่ยงภาวะเงินทุนไหลออก (Figure 4) ได้แก่ GLOBAL, SCC, AEONTS

 

Strategic daily picks

GLOBAL  ปิด 18.9 บาท/แนวรับ 17.8 บาท แนวต้าน 19.2 บาท

Consensus คาดกำไรปกติทั้งปี 2023 จะลดลง 9% YoY จาก 1) SSSG คาด -5% เพราะราคาขายสินค้าเหล็กที่ลดลง 2) อัตรากำไรสินค้าเหล็กหดตัว และ 3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขื้น จากการขยายสาขาใหม่ แต่คาดกำไรจะฟื้นตัวดี 12% YoY ในปี 2024 จากการขาดหายไปของปัจจัยกดดันด้านราคาเหล็ก และคาด SSSG +1.5% พร้อมประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 19.90 บาท อิง DCF (WACC 8.3%, TG 1.5%)

 

SCC    ปิด 339 บาท/แนวรับ 329 บาท แนวต้าน 348 บาท

Consensus ประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 341 บาท โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่มั่นคงขึ้น จากอุปสงค์ที่ดีขึ้นของจีน อีกทั้งอุปทานใหม่คาดว่าจะลดลงใน 2H23, ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงงาน LSP Petrochemical Complex ยังคงเป็นไปตามแผน ซึ่งเตรียมที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในกลางปีนี้ ทั้งนี้ Consensus ประมาณการกำไรปี 2023-24 ที่ 2.91 หมื่นล้านบาท และ 3.16 หมื่นล้านบาท

 

AEONTS    ปิด 198 บาท/แนวรับ 195 บาท แนวต้าน 200 บาท

ผู้บริหาร AEONTS มีมุมมองเป็นบวกต่อทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2023 หลังเร่งตั้งสำรองจำนวนมากไปแล้วในปี 2022 เพื่อเร่ง Write Off ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง รวมถึงเป็นการรักษาระดับ Coverage ratio ที่ระดับ 190% ทำให้ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น สำหรับในปี 2023 บริษัทจะมี 3 ธุรกิจใหม่ (สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 4 ล้อ, สินเชื่อ Digital Loan และธุรกิจบริหารหนี้เสีย (AMC) ทั้งนี้ Consensus ประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 223 บาท อิง Prospective PBV 2.2 เท่า

KTX Zoom (22 พฤษภาคม 2566)