Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 28 August 2023
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ท่ามกลางอุปทานที่ตึงตัว
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 77 - 84 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 80 - 87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (28 ส.ค. – 1 ก.ย. 66)
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มถูกกดดันเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวลงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการ ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเดือน ส.ค. 66 ที่ผ่านมา ที่ยังคงปรับลดลงต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีการเผชิญกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์จากการผิดชำระหนี้ รวมถึง ปัญหาสภาพคล่องในสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มตึงตัว หลังคาดการณ์ว่าซาอุดิอาระเบียจะมีการขยายมาตรการในการปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 1 เดือน และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดว่าจะมีการปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้ของสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งในช่วงฤดูร้อน
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
- เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ จากปัญหาในภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการชะลอตัวลงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในหลายภาคส่วน โดยบริษัท Country Garden ซึ่งถือเป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน มีปัญหาในการผิดชำระหนี้หุ้นกู้และอยู่ระหว่างการพยายามในการเจรจาเพื่อยืดระยะเวลาการชำระออกไป รวมถึง บริษัท Zhongrong International Trust หนึ่งในบริษัททรัสต์รายใหญ่ของจีน ที่ไม่สามารถชำระเงินให้กับนักลงทุนได้ ทั้งนี้ ปัญหาสภาพคล่องดังกล่าวส่งผลให้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีประเภท 1 ปี (LER) ลงจาก 3.55% เป็น 3.45% นับเป็นการการลดดอกเบี้ยดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน
- เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป เผชิญกับความไม่แน่นอนและมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและธนาคารกลางทั่วโลกที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 47.0 และ 51.0 ตามลำดับ โดยมีการปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.0 และ 52.3 ขณะที่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของยุโรปในเดือน ส.ค. 66 ยังชะลอตัวลงต่อเดือน โดยอยู่ที่ระดับ 43.7 และ 48.3 ตามลำดับ
- อุปทานน้ำมันดิบยังมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง หลังกลุ่มโอเปคนำโดยซาอุดิอาระเบียมีแนวโน้มขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตไปอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1 เดือนเป็นสิ้นสุดเดือน ต.ค. 66 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งนี้คาดว่าซาอุดิอาระเบียจะมีการประกาศภายในสิ้นเดือน ส.ค. 66
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันดิบในสหรัฐฯ คาดว่าจะคงกำลังการกลั่นในระดับสูง เพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้น ณ วันที่ 18 ส.ค. ปรับลดลง 6.1 ล้านบาร์เรล มาแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2563 ที่ราว 433.5 ล้านบาร์เรล หลังโรงกลั่นเพิ่มกำลังการกลั่นขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี
- จับตาการเจรจาระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา หลังมีแหล่งข่าวเปิดเผยว่าสหรัฐฯ อาจจะมีการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร หากเวเนซุเอลามีการจัดการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างยุติธรรมและโปร่งใส โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้อนุมัติให้บริษัท Chevron และบริษัทน้ำมันต่างชาติในยุโรป เพิ่มกำลังการผลิตในเวเนซุเอลาเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาเดือน ก.ค. 66 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 0.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- รัฐบาลอิรักและตุรกี อยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับการเปิดดำเนินการท่อส่งออกน้ำมันดิบจากอิรักไปยังตุรกี ซึ่งมีกำลังการขนส่งรวมทั้งสิ้น 450,000 บาร์เรลต่อวัน หลังท่อขนส่งดังกล่าวมีการปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือน มี.ค. 66 และส่งผลให้อิรักต้องมีการปรับลดการผลิตลง เนื่องจากไม่สามารถส่งออกได้
- เศรษฐกิที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. 66 GDP ไตรมาส 2/2566 ของสหรัฐฯ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการของจีน เดือน ส.ค. 66
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 - 25 ส.ค. 66)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 79.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับลดลง 0.32 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 84.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 86.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดกังวลต่อเศรษฐกิจและการใช้น้ำมันของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหาในภาคอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึง ปัญหาสภาพคล่องในหลายภาคส่วน นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงกดดันจาก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อชะลอผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงสนับสนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้และปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดใน 3 ปี จากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น