วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Hotel Sector ข่าวดีส่วนใหญ่ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
คาดนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 28.5 ล้านคนปีนี้
เราปรับสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเป็น 28.5 ล้านคนในปี 2566F จากเดิมที่ 28.0 ล้านคน เนื่องจากเราคาดนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจะเป็นตัวกระตุ้น โดยรัฐบาลได้อนุมัติมาตรการยกเว้นการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อประมาณการนักท่องเที่ยวของเรา อย่างไรก็ดี เรายังคาดหว้งมาตรการในระยะกลาง อย่างเช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาติอื่นด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในปีหน้า ทั้งนี้ เราคาดทั้ง The Erawan Group (ERW.BK/ERW TB) และ Siam Wellness Group (SPA.BK/SPA TB) จะรับได้ประโยชน์มากที่สุดจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมและร้านสาขาร้านในประเทศไทยสูงอยู่ที่ 92% และ 97% ตามลำดับ
คาดกำไรสุทธิของกลุ่มโรงแรมแข็งแกร่งใน 2H66F
เราคาดกำไรสุทธิรวมของกลุ่มโรมแรมที่เราศึกษา อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาทใน 2H66F (+66% HoH) โดยคาด Minor International (MINT.BK/MINT TB)* มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงสุดที่ 99% HoH หลัก ๆ ตามฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป (ไตรมาสแรกเป็น low season มากที่สุด) ขณะที่ โรงแรมประเทศไทยยังได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วน Central Plaza Hotel (CENTEL.BK/CENTEL TB)* คาดอัตราการเติบโตของกำไรสูงรองลงมาที่ 23% HoH เนื่องจากการมีรายได้สูงขึ้นจากทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารและยังไม่มีค่าใช้จ่ายช่วงก่อนการเปิดโรงแรมในญี่ปุ่น (โอซากา) เหมือนใน 1H66 (ราว 100 ล้านบาท) สำหรับ SPA เราคาดมีอัตราการเติบโตกำไร HoH เป็นเลขหลักเดียวกลาง ๆ
หนุนจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่อัตราการเข้าใช้บริการ (utilization rate) อาจมี upside จำกัดจากระดับปัจจุบันที่ 80%.
คาดอัตราการเติบโตชะลอตัวลงในปีหน้า โดยคาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 35.0 ล้านคน
เราคาดนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวจะคงดำเนินต่อเนื่องในปีหน้า และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 35.0 ล้านคน ปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาด 38.0 ล้านคน ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวภาวะเงินเฟ้อและขั้นตอนซับซ้อนในการยื่นขอวีซ่าจะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการกลับมาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีนและนักท่องเที่ยวจากบางประเทศ อาทิเช่น ญี่ปุ่นและลาว ขณะที่สถานการณ์หลังจากโรคระบาด COVID-19 ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว เราจึงคาดว่าอุปสงค์ตกค้าง (pent-up demand) ต่อการท่องเที่ยวน่าจะน้อยลงในปี 2567F และคาดกำไรสุทธิของบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่เราศึกษาเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงอยู่ที่ 14% จาก 114% ในปี 2566F
ปรับลดน้ำหนักกลุ่มโรงแรมลงเป็นเท่ากับตลาด โดยเลือก MINT และ CENTEL เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม
ถึงแม้ว่าเรามองด้านบวกต่อกำไรในระยะสั้นช่วง 2H66F แต่คาดว่า upside มีจำกัดมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นรับรู้ปัจจัยบวกไปมากแล้วจากนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ โดยเราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ โดยรวมของกลุ่มในปี 2566F ลงเล็กน้อย 1% เป็น 9.39 พันล้านบาท และปรับลดของปี 2567F ลง 6% อยู่ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท (+14% YoY) นอกจากนั้น เรามองว่า valuations ควรจะลดลงเพื่อสะท้อนการเติบโตที่กลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น เราเห็นว่านักลงทุนอาจพิจารณาล็อคกำไรของหุ้นบางตัวที่มี upside จำกัด ทั้งนี้ เราปรับลดน้ำหนักกลุ่มโรงแรมลงเป็นเท่ากับตลาด (Neutral) จากมากกว่าตลาด (overweight) โดยเลือก MINT และ CENTEL เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโรงแรมที่เราศึกษา
Risk
โรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและความวุ่นวายทางการเมือง