วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ Quantamental “ภาวะหมี” ในตลาดหุ้น กำลังจะใกล้จบ

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ Quantamental “ภาวะหมี” ในตลาดหุ้น กำลังจะใกล้จบ

เดือน พ.ย. ตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัว แม้จะ Rebound ระหว่างเดือน บทวิเคราะห์เดือนก่อน เราแนะนำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เก็งกำไรในตลาดหุ้นไทย

เนื่องจากเราคาดราคาหุ้นจะเริ่มฟื้นตัว มีการ Rebound ได้จากภาวะ Oversold ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยดัชนี SET index Rebound ทดสอบแนวต้านที่เราประเมินไว้ที่ +/- 1,430 จุด และถูกขายทำกำไรหลังจากนั้นจนลงมาปิดที่ระดับ 1,380 จุด หรือลดลงเล็กน้อย -0.1% MoM แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) จะเริ่มผ่อนคลายลงก็ตาม แต่ปัจจัยพื้นฐานของดัชนี SET index กลับอ่อนตัวลง เนื่องจากนักวิเคราะห์ในตลาดฯได้ทำการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลงในเดือน พ.ย.

 

Value factor: แรงกดดันจาก Bond yield ลดลง แต่ปัจจัยพื้นฐานก็กลับอ่อนลง

i) Modified yield gap (M-yield gap): M-yield gap ล่าสุดเท่ากับ -0.83 จุด แม้ว่าจะสูงกว่าระดับ -2.0 จุด ที่เราประเมินไว้ว่าจะเป็นระดับที่ Valuation หุ้นแพงกว่าพันธบัตรมาก (ตลาดหุ้นจะเข้าภาวะหมี) แต่การที่ M-yield gap ยังต่ำกว่า 0 จุด แสดงว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยยังแพงกว่าพันธบัตรอยู่ ทั้งนี้ Bond yield ปรับลดลงมากหลังจากที่ทำจุดสูงสุดของรอบนี้ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แต่ประมาณการ EPS ปี 2566 ของดัชนี SET index กลับถูกปรับลดลง -2.7% MoM โดยนักวิเคราะห์ในตลาดฯได้ทำการปรับลดประมาณการฯ มาตลอดทุกเดือนตั้งแต่เดือน ม.ค. 66 - ก.ย.66 และได้หยุดการปรับลดประมาณการฯเป็นครั้งแรกในเดือน ต.ค. 66 แต่ได้กลับมาทำการปรับลดประมาณการฯอีกครั้งในเดือน พ.ย.66 ที่ผ่านมา ทำให้ “ข่าวดี” เรื่อง Bond yield ถูกกลบด้วย “ข่าวร้าย” เรื่องการปรับลดประมาณการฯ นั่นเอง

 

ii) Implied equity risk premium (iERP): ส่าวนชดเชยความเสี่ยงของตลาดุห้นไทย หรือ iERP ล่าสุดเท่ากับ 4.03% ทรงตัวยืนเหนือระดับ 4.0% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ดีประมาณการเงินปันผลต่อหุ้น หรือ DPS ปี 2566 – 67 ถูกปรับลดลงเฉลี่ยปีละ 2% ส่วนต่างของ iERP และอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-free rate) เท่ากับ 1.1% เพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.0% และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.8% iERP ล่าสุดสะท้อนว่าความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): อัตราส่วน CAPE ล่าสุดเท่ากับ 16.5 เท่า ทรงตัว MoM ค่า Excess CAPE yield หรือ ECY (ส่วนต่างระหว่าง 1/CAPE หรือ Long-term earnings yield และ Bond yield อายุ 10 ปี) ล่าสุดฟื้นตัวขึ้นเป็น 3.24% จาก 2.98% ในเดือนก่อนหน้า (ผลจาก Bond yield ที่ปรับลง) ทั้งนี้ เราประเมินแนวรับสำคัญของ CAPE ถัดไปจะอยู่ที่ 15.8 เท่า (คิดเป็น +0.25 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต) ซึ่งหากกำหนดให้ปัจจัยต่างๆคงที่ เว้นปัจจัยราคาหุ้น เราประเมิน Downside ของ SET index ราว 4.5% อิงโมเดล CAPE

 

เงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยเทียบกับอุปทานเงินทั้งระบบของไทยคิดเป็น 28.3%

The aggregate investor allocation to equity index (AIAE index) ล่าสุดลดลงเหลือ 28.3 จุด สะท้อนว่ามูลค่าเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยคิดเป็น 28.3% ของอุปทานเงินทั้งระบบ เราประเมินแนวรับสำคัญถัดไปที่ 27.6% ซึ่งจะเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวของ AIAE index ดังนั้นหากอิงโมเดล CAPE และ AIAE index เราประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยมีอีกไม่มาก (Downside limited)

 

 

แนะนำ เริ่มสะสมหุ้นกันใหม่ (อีกครั้ง)

เราแนะนำนักลงทุนใหเริ่มทยอยซื้อสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มมีสัญญาณบวกเข้ามาในตลาดการเงิน โดย i) วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อระดับเป้าหมายอัตราส่วน PE และเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นไทย ii) Trailing PE ของ SET index ปรับลดลงเหลือ 17.9 เท่า จาก 19.2 เท่า เทียบเดือนที่ผ่านมา หลังบริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการ 3Q66 ที่ดี และ iii) เราคาดนักลงทุนจะเริ่มปรับข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนเป็นข้อมูลปีถัดไปเร็วๆนี้ ซึ่งเท่ากับว่าประมาณการฯ EPS ปี 2567 ที่จะใช้ในการตัดสินใจลงทุน จะเท่ากับ 97.5 บาท หรือโต +13% YoY จาก 86.3 บาทในปี 2566 ทั้งนี้โดยเฉลี่ยแล้วนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะทำประมาณการฯสูงเกินไปในช่วงต้นปี
(Overconfident)

หุ้นเด่น 20 ตัว ของเราในเดือน พ.ย.66 ขาดทุนเฉลี่ย 1.9% อิงวิธีคำนวณ Equal weight / แต่กำไรเฉลี่ย 0.2% หากอิงวิธี Market cap weight หุ้นเด่นสำหรับเดือน ธ.ค.อยู๋ในตารางที่ 1 ในด้าน Technical analysis เราประเมิน SET index มีแนวรับ 1,360 จุด และ 1,345 จุด ตามลำดับ / แนวต้าน 1,430 จุด และ 1,460 จุด ตามลำดับ

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ Quantamental “ภาวะหมี” ในตลาดหุ้น กำลังจะใกล้จบ