วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มองกลุ่มได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า อาหารบวก

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มองกลุ่มได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า อาหารบวก

ค่าเงินสหรัฐฯแข็งค่ากดดันความเสี่ยงเงินทุนไหลออกในภาพรวม แต่ยังคงเป็นบวกกับกลุ่มส่งออกและภาคบริการ เรายังคงมุมมองเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า ซึ่งเป็นมุมมองที่ต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 2566

และเราประเมินสถานการณ์ของการเกิด Dollar yield premium ที่จะทำให้ค่าเงินสหรัฐฯแข็งค่า จะยังดำเนินไปจนถึงต้นปี 2568 ในระยะสั้น การอ่อนค่าของเงินเยน ยูโร และหยวน จะทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจะจำกัดเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) และทำให้เงินทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลออก (แต่เราคาดว่าระดับการไหลออกจะเริ่มชะลอ) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวทำให้เงินบาทยังโน้มเอียงไปทางอ่อนค่า ซึ่งจะบวกต่อกลุ่มส่งออก อาทิ อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มบริการ เช่น ท่องเที่ยวและการแพทย์ ช่วงสั้นเรามองอาหารเด่น จากแนวโน้มการดำเนินงานที่คาดจะเห็นการฟื้นตัว (Turnaround) ของผลประกอบการปีนี้ โดยชอบ BTG, CPF, TFG ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้เรามองผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นระยะสั้นอาจเป็นลบ หลัง Micron Technology (MU) ที่เป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ ให้มุมมองธุรกิจฟื้นตัว แต่ภาพรวมยังคงมีความท้าทาย ทำให้การฟื้นตัวอาจจะยังไม่รวดเร็ว
 

สัปดาห์สุดท้ายไตรมาส 2 มีโอกาสฟื้นตัวทั้งจาก Windows dressing และการซื้อคืน (Short recovering) หลังจำนวนหุ้นที่ขายชอร์ตได้ และเกณฑ์การขายชอร์ตที่จะเข้มข้นขึ้น สัปดาห์นี้เรามองมีโอกาสที่หุ้นไทยจะฟื้นตัวจากการ Window dressing ในหุ้นที่ปรับลดลงมาก ขณะเดียวกันการเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ ที่จะมีจำนวนลดลง (เนื่องจากเกณฑ์ใหม่ market cap ของหุ้นต้องใหญ่ขึ้น เป็น 7,500 ล้านบาท จากเดิม 5,000 ล้านบาท) อีกทั้งการขายชอร์ตจะทำได้ยากขึ้นจากการเริ่มใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายสุดท้าย (uptick rule) คาดจะทำให้มีแรงซื้อคืนในหุ้นที่ยังมีสถานะชอร์ตที่ยังไม่ซื้อคืนสูง อาทิ EA, TOP, BEM, IVL, KTC, SPRC, COM7, TIDLOR, IRPC, MINT, CBG, OSP  

 

 

ภาพรวมกลยุทธ์ มีโอกาสฟื้นจากการเกิด short covering นักลงทุนทยอยแบ่งไม้ซื้อ ขณะที่นักเก็งกำไรเลือกหุ้นที่มีสถานะชอร์ตคงค้างเยอะ อาทิ TOP, AWC, COM7 // หุ้นเด่น (Top picks) สำหรับครึ่งปีหลัง 2567 ที่เราแนะนำคือ ADVANC, BSRC, BTG, CK, CPALL, CPF, KBANK, MTC, OSP, SCGP, TIDLOR และ TU

หุ้นแนะนำ: BTG*, SAMART*, ADVANC*, SCGP*

แนวรับ: 1,300-1,311 / แนวต้าน : 1,335 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ    

แบงก์ชาติ จี้ non-bank เร่งช่วยลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้-เพิ่มการติดต่อสื่อสาร ธปท. ได้เชิญกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารระดับสูง ของผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มนอนแบงก์ (non-bank) รายใหญ่มาหารือ เพื่อเร่งผลักดันมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม หลังทยอยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ม.ค.67 (อินโฟเควสท์)

ทั่วโลกจับตาดีเบต "ทรัมป์ VS ไบเดน" ยกแรก จับตาการประชันวิสัยทัศน์หรือการดีเบตระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อชิงคะแนนเสียงของชาวอเมริกัน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. (อินโฟเควสท์)

กนง. เตือนปรับกรอบเงินเฟ้อขึ้น ฉุดเศรษฐกิจสะดุด กระทบกลุ่มเปราะบาง  ยันกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% เป็นกรอบเป้าหมายเหมาะสมทำหน้าที่ได้ดี เตือนการปรับกรอบเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ต้องระวังหวั่นกระทบทำให้เกิดความผันผวนกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา กระทบรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)

Volkswagen ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ จับมือ ‘Rivian’ ลุยพัฒนารถอีวีต่อ โฟล์คสวาเกน ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ จับมือ ‘ริเวียน’ พัฒนารถอีวี ดันหุ้นริเวียนพุ่งเกือบ 50% ทุนจากโฟล์คสวาเกนจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้ริเวียนและช่วยโฟล์คสวาเกนแก้ปัญหาซอฟต์แวร์(กรุงเทพธุรกิจ)

 

เช็คชื่อ 200สว.ระดับประเทศ 'สมชาย' ตกรอบ สว.ค่ายน้ำเงินนำโด่ง (กรุงเทพธุรกิจ)

NEX - คณิสสร์ แจงโดนฟอร์ซเซล NEX พร้อมอ้างเหตุแจ้งช้า เหลือถือ 10 ล้านหุ้น(อินโฟเควสท์)

SCB - ไม่กังวลด้อยค่า ลา Robinhood ลุยยีลด์สูง (ทันหุ้น)

GUNKUL - โกยไฟฟ้ารับเต็ม Direct PPA มั่นใจปี 2567 โรงไฟฟ้าดันผลประกอบการ (ทันหุ้น)

AOT - spin off AOTGA เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 68 รับโปรเจค 6.7 หมื่นล้าน (ข่าวหุ้น)

TRUE - พุ่งแรง รับธนาคารยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น MUFG ทุ่ม 7.2 พันล้านบาท (ข่าวหุ้น)

FPT - ทุ่มงบ 2.5 หมื่นล้านขยาย รง.-คลังสินค้า อัพพื้นที่สู่ 5 ล้านตร.ม.ใน 5 ปี (อินโฟเควสท์)

ประเด็นติดตาม 28 มิ.ย. – US PCE / TH Industrial Production
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)