วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ โมเมนตัมการเก็งกำไรหมุนไปยังหุ้นขนาดเล็ก
เงินเฟ้อสหรัฐฯ มิ.ย.ชะลอตัวมากกว่าคาด ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ มิ.ย.ออกมาที่ -0.1% MoM, +3.0% YoY (ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ +0.1% MoM, +3.1% YoY) โดยภาพรวมชะลอตัวลงในหมวดสินค้าต่างๆ จำนวนมาก
บวกต่อมุมมองลดดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งตอนนี้ตลาดลดปีนี้ 2 ครั้ง) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และดัชนีค่าเงินสหรัฐฯ ลดลงตอบรับปัจจัยดังกล่าว อย่างไรก็ตามหุ้นใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีรับรู้ปัจจัยบวกดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว โอกาสลดดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเลยกระตุ้นให้เกิดการหมุนกลุ่ม (rotation) ไปยังหุ้นที่โดนผลกระทบเชิงลบจากการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงหมุนไปยังหุ้นกลาง-เล็ก มากขึ้น โดยดัชนีหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ (Russel 2000) +3.57% ขณะที่ S&P500 -0.88% และ Nasdaq -2.95% / ดัชนีกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ (SOX) -3.47%
ผลประกอบการจะเป็นสิ่งที่ตลาดจับตาอย่างมาก การลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ตลาดเกิดคำถามว่าลดเพราะภารกิจควบคุมเงินเฟ้อบรรลุผลตามคาด หรือเกิดจากโมเมนตัมเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจนเสี่ยงเกิดเศรษฐกิจถดถอย (เนื่องจากในอดีต 2 ใน 3 ของการลดดอกเบี้ยมักตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ดังนั้นสิ่งที่ตลาดจะติดตามอย่างมาก คือผลประกอบการ และการให้ภาพแนวโน้มผลประกอบการในช่วงถัดไป (Forward guidance) หากออกมาดี การหมุนกลุ่มก็จะเกิดการเปลี่ยนถ่ายจากหุ้นใหญ่ไปหุ้นเล็ก ขณะที่หากแนวโน้มไม่สดใส เราอาจเห็นการหมุนของเงินไปยังตลาดตราสารหนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการลดน้ำหนักลงทุนในหุ้น และมีความผันผวนในช่วง 1-2 เดือนหน้า ได้ สำหรับหุ้นไทยกลุ่มธนาคาร TISCO เริ่มประกาศงบวันนี้ และส่วนใหญ่ 18-19 ก.ค.
บรรยากาศเก็งกำไรมีแนวโน้มจะยังเป็นบวก แม้ภาพรวมดัชนีอาจถูกกดดัน หุ้นกลาง-เล็กน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก อาหาร ยังเด่น ขณะที่ไฟฟ้าและรีทส์ จะเริ่มมีบทบาทช่วยตลาดมากขึ้นจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ย บวกต่อ RATCH, EGCO, GUNKUL, GULF, BGRIM, 3BBIF, DIF, BKKCP เป็นต้น
ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัว อาจผันผวนจากการรายงานผลประกอบการ แต่คงมุมมองว่าช่วง ก.ค.-ส.ค. เรามอง SET เข้าสู่จุดซื้อที่ดีที่สุดในรอบ 12-18 เดือน ข้างหน้า และด้วย Valuation ของ SET ที่แข็งแกร่งในระดับ 1,300 จุด ประเมินความเสี่ยงของการลงอยู่ที่ระดับ 1,270-1,290 และมองการลงแรงถึงระดับ 1,100-1,200 จุด อยู่ในระดับต่ำ
แนวรับ: 1,309-1,320 / แนวต้าน : 1,330-1,340 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
ADVANC* (218) : ผลประกอบการฟื้นตัวตามกำลังซื้อ และรายได้เกษตรกร และอยู่ในช่วงที่มี แนวโน้มถูกปรับประมณการกำไรขึ้น อีกทั้งหุ้นซื้อขายด้วย PER ในโซนต่ำในรอบ 3 ปี ตัดขาดทุน 207 บาท
SAMART* (8) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 จะขาดทุนจากการตั้งสำรอง แต่กำไรปกติเติบโตดีขึ้น NAV ปรับเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มของราคาหุ้นลูกทั้ง SAV และ SAMTEL ตัดขาดทุน 6.50 บาท
TACC* (6) : ผลประกอบการเข้าสู่ช่วง high season และได้ผลบวกจากกำลังซื้อ ตัดขาดทุน 4.76 บาท
TNP* (5) : ผลประกอบการยังอยู่ในโมเมนตัมกำไรที่ดีขึ้น และกำลังซื้อที่น่าจะดีขึ้นจากทั้งค่าแรงขั้นต่ำและดิจิทัลวอลเล็ต 3.40 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงานของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.1%
- TISCO แจ้งงบ Q2 วันนี้
- CPALL รับซื้อหุ้น CPAXT จากผู้คัดค้านการควบรวม 19 ก.ค.-1 ส.ค.67
- SAMART มั่นใจครึ่งปีหลังเติบโตทั้งกลุ่ม และเตรียมประกาศขายหุ้นกู้ ช่วงต้นสิงหาคมนี้
- นักลงทุนเทน้ำหนักคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยเดือนก.ย./ธ.ค. หลังสหรัฐฯ เผย CPI ต่ำคาด
- นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แม้ลดวงเงิน "ดิจิทัลวอลเล็ต" แต่ยังช่วยกระตุ้น GDP 1.3-1.8%
- “มากุโระ กรุ๊ป” ต่อยอดความสำเร็จ “HITORI SHABU” เปิดประสบการณ์ใหม่ แบบฉบับ Sukiyaki Chef’s Table ครั้งแรกในไทย เจาะกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียมกำลังซื้อสูง
- 5 อันดับแรกมูลค่าขายชอร์ตมากสุด by Value PTTEP-R, ADVANC, CPALL, KTB, DELTA
- 5 อันดับแรก มูลค่า Short Covering HANA, HANA-R, EA, EA-R, TOP
- กลุ่ม Electronics ปรับน้ำหนักขึ้นจาก MARKETWEIGHT เป็น OVERWEIGHT
- BDMS คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
15 ก.ค. – CN GDP Growth Rate (2Q24)