วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เผื่อใจกับความเสี่ยงทางลงระยะสั้นหลังไม่สามารถยืน 1,310

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เผื่อใจกับความเสี่ยงทางลงระยะสั้นหลังไม่สามารถยืน 1,310

ภาพรวมหุ้นโลก ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญและผลประกอบการของบจ.ในสหรัฐฯ  ราคาน้ำมันปรับลดลงจาก 1) GDP จีน 2Q67 โตเพียง 4.7% (ต่ำกว่าที่ตลาดคาด +5.1% และชะลอจาก 1Q67 ที่ +5.3%)

2) การเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซามีความคืบหน้า โดยจะมีการเจรจาหยุดยิงครั้งใหม่ 25 ก.ค.  3) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมชะลอตัวลง ยอดขายบ้านมือสอง มิ.ย. อยู่ที่ 3.89 ล้านหน่วย -5.4% YoY (ต่ำสุดนับจาก ธ.ค.66) // ตัวเลขเศรษฐกิจ ติดตาม GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 2/67 (25 ก.ค.) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) (26 ก.ค.) // ผลประกอบการ เมื่อคืนนี้ TSLA กำไรต่ำคาดการณ์ -16.15% ขณะที่ GOOG กำไรสูงกว่าคาดการณ์ +2.41% กำไรหุ้นใหญ่ที่ต้องติดตามส่วนใหญ่อยู่ในสัปดาห์หน้า ได้แก่ MSFT (30 ก.ค), META (31 ก.ค), AMZN (1 ส.ค), AAPL (1 ส.ค)
 

ตลาดขาดความเชื่อมั่นและแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐฯ ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนลดลง หลัง EA ขอเลื่อนชำระตั๋วเงิน 2 รุ่น ที่ถึงกำหนดชำระ 23 ก.ค. ไป 9 ส.ค. ประกอบกับการประชุม ครม. วานนี้ ไม่มีการพิจารณา TESG และการออกกองทุนวายุภักษ์ ส่งผลให้หุ้นขนาดกลาง-เล็กมีแรงขายทำกำไรหนัก และผันผวนกว่าปกติ SET Index ปิด 1,301.54 จุด ลดลง 15.60 จุด หรือ -1.18% โดยหุ้นขนาดเล็กปรับลดลงมากกว่าหุ้นใหญ่อย่างชัดเจน โดย FTSE SET Large Cap -0.54%, FTSE SET Mid Cap -2.06%, FTSE SET Small Cap -2.80% หากพิจารณาจากจำนวนหุ้นทั้งหมด 828 ตัว มีจำนวนหุ้นปรับตัวขึ้นเพียง 11% (จากปกติ 20-30%), ทรงตัว 15% และปรับลดลงถึง 74% นอกจากนี้หากดูการกระจายตัวของผลตอบแทนเบนไปทางลบมากกว่าปกติอย่างชัดเจน โดยมีหุ้นที่ลดลง 0-2% จำนวน 31%, ลดลง 2-4% จำนวน 21%, ลดลง 4-6% จำนวน 12% และลดลงมากกว่า 6% จำนวน 10% เรายังมองบวกต่อภาพการลงทุนระยะ 12 เดือนข้างหน้า แต่อาจต้องระวังความผันผวนระยะสั้นของตลาดที่กระทบต่อหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และกลุ่มการเงิน
 

 

กลุ่มอาหาร สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ เป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงนี้ กลุ่มอาหารโดยรวมยังมีโมเมนตัม ของการปรับประมาณการกำไรเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งไก่และหมู ขณะที่ สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการเชิงบวกและได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาลง 

ภาพรวมกลยุทธ์ ลดความบู๊ และเผื่อใจกับความเสี่ยงทางลงระยะสั้น หลัง SET ไม่สามารถยืนเหนือ 1,310 จุด ทำให้มีความเสี่ยงปรับลดลงทดสอบ 1,280 จุด หรือต่ำกว่า นักลงทุนระยะสั้นชะลอการเก็งกำไร ขณะที่ผู้ลงทุนระยะยาวใช้การแบ่งไม้เข้าซื้อในการทยอยสะสม

แนวรับ: 1,280-1,290 / แนวต้าน : 1,310 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6%  ตัดขาดทุน 27 บาท 

•    BTG* (27) : ผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตามราคาหมูที่ฟื้นตัว และคาดได้ประโยชน์จากนโยบายหระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  ตัดขาดทุน 22.50 บาท 

•    3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท

•    CPN* (66) : ผลประกอบการปีนี้แข็งแกร่ง ราคาซื้อขายที่ระดับ PER 16x ซึ่งเป็นกรอบต่ำในระดับ 20 ปี และมองเป็นจุดซื้อที่ดี ตัดขาดทุน 55 บาท  
 

 

 

 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    EA เลื่อนไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน 2 รุ่น รวม 700 ลบ. ยกเลิกขายหุ้นกู้ 2 รุ่น 23-25 ก.ค.นี้
-    ครม.ไฟเขียวตรึง ค่าไฟ งวด ก.ย.-ธ.ค.ที่หน่วยละ 4.18 บาท
-    BEM เซ็นจ้าง CK สร้างรถไฟฟ้าสีส้ม 1.2 แสนลบ.เก็งยอดผู้โดยสารเต็มที่ 3 แสนคน/วันเริ่มเก็บ 17-44 บาท
-    ติดตามการแถลงรายละเอียดโครงการ Digital wallet วันนี้ เวลา 10.00 น. 
-    SCGP คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 41.00 บาท 
-    BCP คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 45.00 บาท 
-    BSRC คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท 
-    OSP คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 30.00 บาท 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

24 ก.ค. – ศาลฯ นัดพิจารณาคดีถอดถอนนายกฯ