วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ แรงกดดันจากการปรับฐานหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนของการเมืองสหรัฐฯ ทำให้ตลาดปรับฐานในระยะสั้น หุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงแรง โดยหลักประเมินมาจาก 1) ความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการ หลัง TSLA และ GOOG รายงานผลประกอบการต่ำกว่าตลาดคาด
2) ความกังวลเงินเฟ้อที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้านำเข้าที่อาจถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง หรือความกังวลการใช้งบประมาณด้านสังคม และเพิ่มการจัดเก็บภาษีของกมลา แฮร์ริส ซึ่งทั้งสองปัจจัยอาจกระทบต่อมุมมองดอกเบี้ย และผลประกอบการ 3) ความกังวลเศรษฐกิจถดถอย จากสัญญาณของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร // ปัจจัยข้างต้นทำให้มีแรงขายหนักในกลุ่มที่ขึ้นเยอะอย่างหุ้นเทคโนโลยี โดย DJIA -1.25%, S&P500 -2.31%, Nasdaq -3.64%, Russel200 -2.13%
รัฐบาลแถลงความคืบหน้าดิจิทัลวอลเล็ต ยังไม่มีข้อมูลใหม่ โดยเป็นการยืนยันเงื่อนไขที่เคยเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ รวมถึงยืนยันสินค้าที่ห้ามใช้จ่าย (negative list) ซึ่งรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์ ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นมีเพียงกำหนดระยะเวลาลงทะเบียน เริ่มต้น 1 ก.ย. และยังไม่มีกำหนดกรอบเวลาใช้จ่ายที่ชัดเจน ขณะที่การลงทะเบียนร้านค้าที่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. อาจทำให้เกิดความกังวลต่อความเสี่ยงที่การเริ่มใช้จ่ายเงินอาจจะล่าช้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงชอบหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากดิจิทัลวอลเล็ต และ การฟื้นตัวของการบริโภค อาทิ 1) กลุ่มที่สามารถใช้จ่ายโดยตรง CPALL, TNP 2) กลุ่มที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ร้านค้าปลีก CPAXT, CBG, OSP 3) กลุ่มที่มีร้านค้าปลีกแต่คิดเป็นสัดส่วน ไม่มากของรายได้รวม TFG, BTG
กลุ่มอาหาร สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ เป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงนี้ กลุ่มอาหารโดยรวมยังมีโมเมนตัมของการปรับประมาณการกำไรเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งไก่และหมู ขณะที่ สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการเชิงบวกและได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาลง
ภาพรวมกลยุทธ์ เผื่อใจกับความเสี่ยงทางลงระยะสั้น หลัง SET ไม่สามารถยืนเหนือ 1,310 จุด ทำให้มีความเสี่ยงปรับลดลงทดสอบ 1,280 จุด หรือต่ำกว่า นักลงทุนระยะสั้นชะลอการเก็งกำไร ขณะที่ผู้ลงทุนระยะยาวใช้การแบ่งไม้เข้าซื้อในการทยอยสะสม เน้นอาหาร ไฟฟ้า รีทส์
แนวรับ: 1,280-1,290 / แนวต้าน : 1,310 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• BTG* (27) : ผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตามราคาหมูที่ฟื้นตัว และคาดได้ประโยชน์จากนโยบายหระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ตัดขาดทุน 22.50 บาท
• 3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท
• TNP* (4.40) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 คาดเติบโตเล็กน้อยจากยอดขายสาขาเดิมที่ยังเป็นบวกได้ ราคาซื้อขายที่ระดับ PER 16x ต่ำในกลุ่มค้าปลีก ตัดขาดทุน 3.16 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- รัฐตรึงราคาดีเซลอีก 3 เดือน กดดันหุ้นพลังงานระยะสั้น
- คลังยันโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ส.ค. 2567
- ทริสเรทติ้ง มอง GULF-INTUCH ควบรวม ไม่กระทบอันดับเครดิต
- Red Lobster เดินหน้าสู่กระบวนการขายกิจการกับผู้ให้กู้ หลังยื่นล้มละลาย
- ORI ปิดดีลขายบิ๊กล็อตคอนโดให้ “DELTA” 415 ยูนิต มูลค่า 1,023 ล้านบาท
- หุ้น IPO วันนี้ บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ FM
- กลุ่มธนาคาร คงน้ำหนัก OVERWEIGHT
- กลุ่มค้าปลีก คงน้ำหนัก OVERWEIGHT
- SCC คงคำแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 250.00 บาท
- WHA คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 6.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
26 ก.ค. – US PCE Price Index (June)