วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ปัจจุบันเป็นระดับที่ต้องเริ่มระวังแรงทำกำไรสลับ
ความเคลื่อนไหวในตลาดโลกบ่งชี้นักลงทุนยังให้น้ำหนักความกังวลที่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ บรรยากาศลงทุนโดยรวมยังชะลอตัว ซึ่งเราประเมินตลาดยังกังวลโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า จะยังเป็นปัจจัยถ่วงต่อภาพการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ซึ่งจะเห็นได้จาก 1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง 17% ในเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา 2) ผลตอบแทนพันธบัตรที่ยังปรับลดลงต่อเนื่อง บ่งชี้เงินยังเพิ่มน้ำหนักสินทรัพย์ปลอดภัย 3) ความเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มปลอดภัย (โรงไฟฟ้า/ปันผลสูง/กองรีทส์) ที่โดดเด่นกว่าหุนกลุ่มอื่นๆ สะท้อนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนพยายามจัดสรรเงินลงทุนรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ภาพรวมกลยุทธ์ของเราในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แนะนำการลงทุนในกลุ่มหุ้นคุณภาพดี รวมถึงที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อย่างโรงไฟฟ้าและกองรีทส์ ถือได้ว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นไทย อย่างไรก็ตามระยะสั้นอาจต้องเริ่มระวังแรงขายทำกำไรสลับ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (โดยเฉพาะช่วง มิ.ย.67) เราย้ำกับนักลงทุนหลายครั้งว่า SET อยู่ในจุดซื้อที่ดีที่สุดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวออกข้างประมาณ 2 เดือนก่อนเริ่มปรับตัวขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เรายังมองหุ้นไทยในระยะกลางเป็นบวก อย่างไรก็ตาม อัพไซด์ระยะสั้นในระดับดัชนี 1,430-1,440 จุด อาจจะเริ่มจำกัดด้วยหลายปัจจัย 1) ตลาดระยะสั้นรับข่าวดีของความชัดเจนการเมือง รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นตลาดทุน (อาทิ กองทุนวายุภักษ์) ไปพอสมควรแล้ว 2) หุ้นส่วนใหญ่ใน SET50 และ SET100 กลับมาอยู่ในโมเมนตัมเชิงบวกทั้งรายวันและรายสัปดาห์เกือบหมดแล้ว ทำให้โมเมนตัมของหุ้นที่จะปรับดีขึ้นจะเริ่มจำกัด 3) จำนวนหุ้นใน SET ที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ปัจจุบันอยู่ที่ 689 หลักทรัพย์ (81%) ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อแรงทำกำไร เมื่ออิงจากสถิติการอ่อนกำลังของตลาดที่มักเกิดเมื่อมีหุ้นยืนเหนือเส้นค้าเฉลี่ย 20 วันในระดับ 652-707 หลักทรัพย์ (76-83%) ทำให้ต้องชะลอการซื้อแบบปาเป้า และเข้าลงทุนแบบ selective buy มากขึ้น
ภาพรวมกลยุทธ์ ควรเริ่มระวังแรงทำกำไรในหุ้นรายตัว และเน้นการเข้าซื้อแบบเจาะจง (selective buy) มากขึ้น ยังคาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด และใช้จังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก // หุ้น Laggard ได้แก่ STEC, SPRC, PTG, SAMTEL
แนวรับ: 1,405 / แนวต้าน : 1,437 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• STEC (11) : การผ่านร่างงบประมาณปี 68 ทำให้การใช้จ่ายงบประมาณเดินหน้าต่อเนื่องไม่สะดุด ขณะที่บวกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาวทั้งแลนด์บริดจ์และ Entertainment complex ตัดขาดทุน 9.20 บาท
• EGCO* (129) : ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ได้อานิสงค์จากธุรกิจในต่างประเทศ และการแข็งค่าของเงินบาท บวกต่อ FX Gain ตัดขาดทุน 115 บาท
• PRM* (11) : ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามสัญญาขนส่ง ตัดขาดทุน 8.10 บาท
• SAMART* (8) : ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการกลับมาของรายต่ายภาครัฐฯ และการลงทุนด้าน IT/AI ตัดขาดทุน 6.20 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ราคาน้ำมัน WTI ทรุดกว่า 4% หลุด $66 หลังโอเปคหั่นคาดการณ์ดีมานด์
- หุ้น "แอปเปิ้ล" ร่วง หลังศาลยุโรปสั่งจ่ายภาษีย้อนหลังเกือบ 5 แสนลบ.
- "พีระพันธุ์" ประกาศเดินหน้าเร่งออกกฎหมายปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ
- “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เข้าไทยทะลุ 24 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.13 ล้านล้านบาท
- คาดสหรัฐเผยดัชนี CPI +2.6% เดือนส.ค. ชะลอตัวจากเดือนก.ค.
- "ภูมิธรรม" ปัดฟันธง 20 ก.ย.แจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบาง
- EA นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ EA249A ขอเลื่อนวันไถ่ถอนเร็วขึ้น 1 เดือน
- Property Sector แนะนำ MARKETWEIGHT
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
11 ก.ย. – US CPI (Aug)
12 ก.ย. – US PPI (Aug)
17 ก.ย. – US Retail Sales (Aug)