วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลุ่มเกี่ยวกับโภคภัณฑ์
ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้ 1) การลดดอกเบี้ยและการปล่อยสภาพคล่อง ได้แก่ การลดดอกเบี้ยหลายประเภท
ทั้ง ดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะสั้น, ดอกเบี้ยสินเชื่อระยะกลาง, ดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยเงินฝาก 2) การลดสัดส่วนเงินสำรอง (Reserve Requirement Ratio - RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่องในระบบถึง 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 142 พันล้านดอลลาร์) และอาจลดเพิ่มได้อีก 0.25-0.5% ในอนาคต 3) มาตรการช่วยเหลือตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลง 0.5% สำหรับผู้ที่มีการกู้ยืมอยู่แล้ว และลดเงินดาวน์ขั้นต่ำในการซื้อบ้านหลังที่สองจาก 25% เหลือ 15% และการสนับสนุนเพิ่มเติมในรูปแบบของกองทุนเพื่อซื้อหุ้นในตลาดทุนและการซื้อคืนหุ้นโดยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงมาตรการเสริมความคล่องตัวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินทุนสนับสนุนพิเศษ 4) การใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ อาทิ เปิดตัวโครงการแลกเปลี่ยนหุ้น (stock swap program) มูลค่า 71 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยให้กองทุนประกันและโบรกเกอร์เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์สูงถึง 42.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยสนับสนุนการซื้อหุ้นและการซื้อคืนหุ้นของบริษัทจดทะเบียน // มาตรการข้างต้น ทำให้เกิดการซื้อกลับหุ้นที่ถูกขายชอร์ตในช่วงก่อนหน้า ขณะเดียวกันทำให้เกิดความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และหนุนราคาสินค้ากลุ่มโภคภัณฑ์ ทั้ง ยาง ค่าระวางเรือ รวมถึงหุ้นที่ตลาดมองว่าอิงเศรษฐกิจจีนอย่างกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งจิตวิทยาตลาดระยะสั้นที่ได้รับแรงหนุนจากบรรยากาศดังกล่าว หนุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จำนวนมากที่ราคาไม่แพง หรือซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี
ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัว และระวังแรงขายทำกำไรหุ้นธนาคารและสื่อสารหลังหมดระยะเวลาขอใบอนุญาต Virtual Bank (19 ก.ย.) ขณะที่ระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นกลุ่มคล้ายพันธบัตร อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ หลังผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อาจดีดตัวจากภาวะขายมากเกิน แต่ภาพรวมการปรับตัวลงเป็นโอกาสสะสม// อาจเลือกหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างกลุ่มท่องเที่ยว และการแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA
แนวรับ: 1,425-1,435 / แนวต้าน : 1,465-1,490 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• SCGP* (34) : ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไตรมาส 2/67 ไปแล้ว และคาดจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3/67 ตัดขาดทุน 29.50 บาท
• NER* (5.70) : ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มเติบโตดี ขณะที่ในเชิงจิตวิทยกา การเพิ่มขึ้นของราคายาง เป็นปัจจัยบวกหนุนการเก็งกำไรในหุ้น ตัดขาดทุน 5.20 บาท
• IND* (1.21) : ผลการดำเนินงานมีแรงหนุนจากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ ขณะที่บริษัทมีกลยุทธ์ในการรับงานที่ทำให้มีการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ราคาปัจจุบันซื้อขายต่ำ มูลค่าทางบัญชีที่ 1.21 บาท ตัดขาดทุน 0.78 บาท
• SAMART* (8) : ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐฯ และการลงทุนด้าน IT/AI ตัดขาดทุน 6.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- แบงก์ชาติจีนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ลดดอกเบี้ยและ RRR ธนาคารพาณิชย์
- นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 50/50 หั่นดบ. 0.25%/0.50% เดือนพ.ย.
- สหรัฐฯ เสนอแผนสกัดรถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากจีน
- SC เผย CX Corporation เรือธงธุรกิจใหม่ของ SC Asset ประกาศแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท
- NER ยอดขาย Q4 นิวไฮ อานิสงส์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ
- กสทช. เล็งออกประกาศเชิญชวน ขอรับใบอนุญาตกระจายเสียง
- SPALI เปิดตัว 5-6 ต.ค.นี้ ‘ศุภาลัยวิลล์วงแหวนฯ’ มูลค่าโครงการ 1.5 พันล.
- BGRIM ร่วมคู่ค้าลงนามขายโซลาร์ 323.3 เมก 25 ปี
- NSL คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 41 บาท / Bank คงคำแนะนำ Market Weight
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
25 ก.ย. – ตัวเลขส่งออกไทย
26 ก.ย. – Fed Chair Powell Speech
27 ก.ย. – US Inflation (PCE) (Aug)