Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 21 October 2024

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 21 October 2024

ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันต่อเนื่องหลังโอเปคและ IEA ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันสะท้อนเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา ขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางไม่กระทบอุปทาน

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 67-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 21 October 2024

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (21 - 25 ต.ค. 67)

ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันต่อเนื่อง เนื่องจากโอเปคและสำนักงานพลังงานสากลปรับลดคาดการณ์การเติบโตอุปสงค์น้ำมันโลกปี 67 และ 68 หลังตัวเลขเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังคงไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ขณะที่ตลาดคาดสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้รับแรงหนุนเนื่องจากธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนนี้ นอกจากนี้ คาดการณ์ธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดดอกเบี้ยเช่นเดียวกันหลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องจับตาเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. นี้

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

•  ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากโอเปคเปิดเผยรายงานเดือน ต.ค. 67 ปรับลดคาดการณ์การเติบโตอุปสงค์น้ำมันโลกปี 2567 ลง 0.11 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 1.93 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 104.14 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2568 ลง 0.20 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 1.64 ล้านบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ระดับ 105.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตอุปสงค์น้ำมันโลกลงเช่นเดียวกัน โดยปี 2567 ลง 0.15 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 0.86 ล้านบาร์เรลต่อวัน


 

เมื่อเทียบปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 102.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2568 ลดลง 0.10 ล้านบาร์เรลต่อวันมาที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ระดับ 103.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันโลก โดยเฉพาะจากจีนที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ หลังเศรษกิจจีนยังคงอ่อนแอ รวมถึงมีการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอย่าง LNG ทดแทนน้ำมันดีเซลในรถบรรทุกขนาดใหญ่มากขึ้น 

• เศรษฐกิจจีนยังคงแสดงสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง โดยล่าสุดรอยเตอร์คาดเศรษฐกิจจีนจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ 5% ในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 4.8% ในปี 2567 และอาจชะลอตัวสู่ระดับ 4.5% ในปี 2568 ส่งผลให้รัฐบาลจีน ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลาย ก.ย. 67 ที่ผ่านมาเพื่อแก้ปัญหาปัญหาเรื่องภาวะเงินฝืด ตลอดจนเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงผิดหวังหลังการแถลงการณ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้มีการเปิดเผยขนาดรวมของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์จะมีการเปิดเผยรายละเอียดนโยบายที่ชัดเจนมากขึ้นในการประชุมครั้งต่อไปของสภานิติบัญญัติแห่งชาติของจีนที่คาดว่าจะมีขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

•  สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องแม้อิสราเอลเผยต่อสหรัฐฯ ว่ามีแผนถล่มเป้าหมายทางการทหารในอิหร่าน แต่จะไม่โจมตีไปยังแหล่งน้ำมันหรือโรงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทั้งนี้ ล่าสุดอิสราเอลเดินหน้าขยายแนวรบไปทางตอนเหนือของเลบานอนมากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ เผยมีการส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงให้กับอิสราเอลเพิ่มเติมบ่งชี้ถึงสัญญาณการเตรียมพร้อมของพันธมิตรที่สำคัญในการสู้รบบริเวณตะวันออกกลาง 


 

•    ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.25% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 17 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีหลังตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเขตยูโรโซนปรับลดแตะระดับ 2.8% ในเดือน ก.ย. ถือเป็นการปรับลดแตะระดับต่ำกว่า 2% ครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2564 เนื่องจากต้นทุนพลังงาน และราคาสินค้าปรับตัวลดลง ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษมีทิศทางชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน โดยการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ก.ย. 67 เพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนส.ค. ที่ผ่านมาที่ระดับ 2.2% ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนหน้า (7 พ.ย.) เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ตลาดคาดอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำลงจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

•    ตลาดยังคงจับตาเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พ.ย.นี้ โดยล่าสุดผลสำรวจจาก Real Clear Politics ชี้ให้เห็นว่า คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนโดยรวมนำโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน แต่ผลคะแนนในหลายๆ รัฐสวิงสเตทกลับพบว่าโดนัลด์ ทรัมป์นั้นได้รับความนิยมสูงกว่า ทั้งนี้ตลาดคาดนโยบายของทั้ง 2 ฝ่ายอาจส่งผลกระทบต่อทั้งอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบในช่วงปีหน้า

•    ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่เดือน ก.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน ต.ค. 67 เศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน ต.ค. 67 และเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีของธนาคารกลางจีนเดือน ต.ค. 67 
 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (14 ต.ค. – 18 ต.ค. 67)

•  ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 6.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 69.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 5.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 73.06 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 74.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวว่าอิสราเอลจะมุ่งเป้าโจมตีไปที่จุดยุทธศาสตร์ทางการทหารของอิหร่าน และไม่ใช่แหล่งผลิตน้ำมันหรือนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนเดือน ก.ย. 67 ที่ปรับลดลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยปรับลดลงกว่า 0.66% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แตะระดับ 11.07 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ดี ราคายังได้รับแรงหนุนจากการโจมตีของอิสราเอลบริเวณทางตอนเหนือและตอนใต้ของเลบานอนที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านมีการเรียกร้องให้เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศอิหร่านประท้วงต่อต้านการคว่ำบาตรอิหร่านของสหภาพยุโรปหลังสมาชิก EU อนุมัติมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านต่อหน่วยงานและบุคคลที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดหาโดรน มิสไซล์ รวมถึงชิ้นส่วนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องให้รัสเซียเพื่อทำสงครามในยูเครน ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 11 ต.ค. 67 ปรับลดลง 2.2 ล้านบาร์เรลสู่ระดับ 420.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่ม 1.8 ล้านบาร์เรล