วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ คาดตลาดหุ้นแกว่งแคบรอผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
นักลงทุนรอผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ คาดตลาดหุ้นไทยจะยังแกว่งแคบๆ รอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลยุทธ์เราแนะนำหมุนเงินลงทุนเข้า 1) กลุ่ม Defensive และแนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q67 แข็งแกร่ง อาทิ BDMS
และ 2) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากเราประเมินว่าไม่ว่าทรัมป์ หรือแฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ทำให้มีโอกาสที่จีนจะย้ายฐานการผลิต เราชอบ AMATA, WHA ที่คาดผลการดำเนินงาน 2H67 จะเติบโตดีต่อเนื่อง สำหรับระยะสั้น เราแนะนำให้หาจังหวะเก็งกำไรกลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP หลังกลุ่มโอเปคมีมติเลื่อนการปรับลดการเพิ่มกำลังการผลิตออกไป จากความต้องการใช้น้ำมันที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับเพิ่มขึ้น
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน ตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นวงกว้างในเดือน ต.ค. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) และ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยทั้งสองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน เรามองว่ามีโอกาสเห็นการเก็งกำไรหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,430 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,430 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,430-1,500 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,430 แนวต้าน : 1,500 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• ADVANC* (310) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น yoy หนุนจากธุรกิจ FBB และคาดจะมี catalyst ใหม่ หลัง GULF เข้ามาถือหุ้นโดยตรง ตัดขาดทุน 268 บาท
• ERW* (6.50) : เข้าสู่ช่วง high season ของการท่องเที่ยวไทย คาดโมเมนตัมของราคาหุ้นจะปรับดีขึ้น ตัดขาดทุน 3.84 บาท
• MEB* (42) : คาดกำไรสุทธิ 2H67 จะเติบโตเด่น yoy จำนวนผู้ใช้งาน และการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 30.50 บาท
• WHA* (6.50) : คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 เติบโตเด่น yoy จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง ตัดขาดทุน 5.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานลดลง 0.5% ในเดือนก.ย.
- ราคาน้ำมัน WTI พุ่งกว่า 2% ทะลุ $71 ขานรับโอเปคพลัสเลื่อนแผนเพิ่มการผลิต
- โอเปคพลัสชะลอแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 1 เดือน กังวลดีมานด์ชะลอตัว
- จับตาประชุมเจ้าหนี้ THAI หลังคลังส่งผู้บริหารแผนฯ เพิ่ม 2 คน
- CK คว้างานจัดหาขบวนรถไฟฟ้า-ปรับปรุงระบบสายสีน้ำเงินของ BEM 6.8 พันลบ.
- DELTA กางเป้าผลงานโต 2 หลักตามดีมานด์สูงขึ้น
- เพอร์เฟค ปิดดีล 5 พันล้าน ขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท
- TFM ไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 151.03 ลบ.
- PTT คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 38 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5 พ.ย. – TH CPI, ผลประกอบการ IRPC และ ITC
8 พ.ย. – Fed Interest Rat Decision